posttoday

งบไตรมาส 2 ชี้ทิศทางหุ้นไทย

18 กรกฎาคม 2560

โดย....พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.หลักทรัพย์ ธนชาต

โดย....พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.หลักทรัพย์ ธนชาต email: [email protected]

สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกพุ่งรับถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่าเฟดพร้อมจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำตลาดการเงินจึงปรับลดโอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยเฟดอีกครั้งก่อนสิ้นปีนี้เหลือต่ำกว่า 50% ประธานเฟดแสดงความเชื่อมั่นว่าการปรับลดงบดุลของเฟดจะไม่กระทบต่อตลาดการเงิน

แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ได้กระตุ้นกระแสเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นย่านเอเชีย ตลาดหุ้นเอเชียที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นในปีนี้ ได้แก่ ตลาดหุ้นอินเดีย บวก 20.3% ตามมาด้วยฮ่องกง บวก 19.8% เกาหลีใต้ บวก 19% ฟิลิปปินส์ บวก 16%

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปีนี้ขึ้นมาเพียง 2.4% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปี 2559 หุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงถึง 23% นำหน้าตลาดหุ้นอื่นไปไกล อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะแวลูเอชั่น (Valuation) ตลาดหุ้นไทยเริ่มตึงตัว เทรดที่ค่า พี/อี ปี 2560 ที่ 15.5 เท่า แต่กำไรปกติคาดว่าจะโตเพียง 8.7%

ดัชนีการทบทวนประมาณการกำไร (Earning Revision Index) ชี้ว่ามีการปรับขึ้นประมาณการกำไรหุ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี หนุนโดยมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจโลก ขณะที่ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการส่วนใหญ่ยังปรับขึ้นช้า และอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ

กรณีตลาดหุ้นไทยประมาณการกำไรถูกปรับเปลี่ยนขึ้นๆ-ลงๆ มิได้เป็นแนวโน้มขึ้นยาวๆ เหมือนตลาดหุ้นโลก ที่สำคัญหุ้นกลุ่มหลักเผชิญความเสี่ยงด้านล่าง อาทิ

หุ้นกลุ่มธนาคารถูกกดดันจากปัญหาเอ็นพีแอล เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวล่าช้า ทำให้โอกาสในการขยายสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมถูกจำกัดไปด้วย

หุ้นกลุ่มพลังงานเผชิญภาวะน้ำมันล้นตลาด กดราคาน้ำมันแตะจุดต่ำสุดในรอบ 7 เดือน หลังมีรายงานสต๊อกน้ำมันสหรัฐยังอยู่ในระดับสูงเกินคาด ขณะที่ไออีเอคาดการณ์ว่าประเทศนอกกลุ่มโอเปกจะผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น

แม้ราคาน้ำมันดิบจะกระเตื้องขึ้นมาในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ยังคงต่ำกว่าเส้นราคาเฉลี่ย 200 วัน นักวิเคราะห์จึงปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันเฉลี่ยปีนี้ และปีหน้าลงในช่วงเดือนที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มค้าปลีกได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัวล่าช้าเกินคาด

อย่างไรก็ดี มุมมองต่อเศรษฐกิจไทยค่อยๆ ดีขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์หลัง แม้จะยังคงตามหลังการฟื้นตัวของประเทศเพื่อนบ้านตัวเลขส่งออกเดือน พ.ค.เร่งตัวขึ้น แบงก์ชาติรายงานว่าขยายตัว 10.6% เทียบกับของประเทศเพื่อนบ้านที่ส่งออกเติบโต 2 หลักมาตั้งแต่ต้นปี

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จีนซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายสำคัญของไทยและอาเซียนรายงานมูลค่าการค้าระหว่างประเทศเดือน มิ.ย.ที่เร่งตัวขึ้น โดยการส่งออกโต 11.3% ขณะที่การนำเข้าขยายตัวถึง 17.2% ในรูปดอลลาร์สหรัฐ ทำให้คาดว่ามูลค่าการค้าในภูมิภาคเอเชียจะฟื้นตัวต่อเนื่องเดือน มิ.ย.

นอกจากนั้น ยังมีความคืบหน้าด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการเร่งพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งจะช่วยหนุนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและนิคมอุตสาหกรรมที่มีฐานส่วนใหญ่ในอีอีซี

แม้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะดูดีขึ้นบ้าง แต่โอกาสทำกำไรยังคงจำกัด ดัชนีหุ้นไทยยังมีแนวโน้มแกว่งออกข้าง ในกรอบ 1,564-1,590 จุด แต่ยังสามารถเลือกซื้อหุ้นรายตัว ในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังนี้

1) เศรษฐกิจโลกขยายตัวดี ขณะที่ราคานํ้ามันยังอยู่ในระดับตํ่า ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงต่อเนื่อง ช่วยเติมสภาพคล่องเข้ามาในระบบเศรษฐกิจไทย

2) อัตราดอกเบี้ยในประเทศจะขึ้นอย่างช้าๆ แม้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้

3) การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี)

หุ้นที่อยู่ในข่ายได้ประโยชน์จากปัจจัยข้างต้นและน่าลงทุน ได้แก่ AMATA BEAUTY CPALL DTAC EA MTLS KKP SAWAD STEC THANI เป็นต้น

ทั้งนี้ ต้องติดตามงบไตรมาส 2 จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนประมาณการกำไรในทิศทางใด ในสัปดาห์นี้ ธนาคารที่เหลือจะรายงานงบ สัปดาห์ถัดๆ ไปบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินจะทยอยรายงานผลประกอบการก่อนถึงเส้นตายในกลางเดือน ส.ค.

สามารถติดตามบทวิเคราะห์รายหุ้นของธนชาตผ่านแอพพลิเคชั่น Think ที่พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้ววันนี้ ทั้งในระบบไอโอเอสและแอนดรอยด์

ดาวน์โหลดที่นี่ https://goo.gl/BhhePK

พบกันใหม่ สวัสดีครับ