posttoday

ประกันภัยแข่งดุกระทบกำไรหด

14 สิงหาคม 2561

ภาพรวมธุรกิจผลประกอบการบริษัทประกันวินาศภัยขนาดกลาง-เล็ก ผลงานไตรมาส 2 ยังไม่แจ่ม เหตุตลาดแข่งขันรุนแรง

ภาพรวมธุรกิจผลประกอบการบริษัทประกันวินาศภัยขนาดกลาง-เล็ก ผลงานไตรมาส 2 ยังไม่แจ่ม เหตุตลาดแข่งขันรุนแรง

************************************

โดย...ฉัตรชัย ธนจินดาเลิศ

ภาพรวมธุรกิจผลประกอบการบริษัทประกันวินาศภัยขนาดกลาง-เล็ก ผลงานไตรมาส 2 ยังไม่แจ่ม เหตุตลาดแข่งขันรุนแรง ค่าสินไหมพุ่ง

นวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 267 ล้านบาท ลดลง 116 ล้านบาท หรือ 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 383 ล้านบาท โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 4,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 4,505 ล้านบาท ขณะที่มีค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 4,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 168 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 4,034 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากดูเฉพาะในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิ 157 ล้านบาท ลดลง 53 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท

สำหรับสาเหตุสำคัญเนื่องจากสภาพการแข่งขันทางการตลาดที่สูงมากในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทั้งในส่วนของประกันภัยรถยนต์และประกันภัยทั่วไป มีผลทำให้อัตราเบี้ยคงเดิมหรือปรับตัวลดลง บริษัทประกันวินาศภัยจึงอยู่ในภาวะราคาเบี้ยที่อ่อนตัว โดยผลิตภัณฑ์รายย่อยหลายประเภทมีกำไรขั้นต้นที่ลดต่ำลง เช่น การประกันอัคคีภัยทรัพย์สิน การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ และการประกันภัยเบ็ดเตล็ด

นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร การลงทุนด้านทรัพย์สิน และด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถรองรับการขยายธุรกิจการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาดและพฤติกรรมลูกค้าตลอดจนการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการด้านต่างๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายสินไหมที่เพิ่มขึ้นทั้งที่เกิดจากอุบัติภัยทั่วไปภัยธรรมชาติ และเป็นผลต่อเนื่องจากการขยายตัวของธุรกิจภัย

สมบุญ ฟูศรีบุญ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท นำสินประกันภัย กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 53 ล้านบาท ลดลง 23 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 76 ล้านบาท และหากเป็นในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิ 16 ล้านบาท ลดลง 48 ล้านบาท หรือ 74% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 64 ล้านบาท

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากปัจจัยที่สำคัญ ประกอบด้วย บริษัทมีกำไรจากการรับประกันภัย 4.24 ล้านบาท ต่ำกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเป็นจำนวน 23 ล้านบาท เพราะว่าในขณะที่เบี้ยที่ถือเป็นรายได้สุทธิรวมกับรายได้ค่าจ้างและค่าบำเหน็จลดลง 24 ล้านบาทนั้น ค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้น 5 ล้านบาท สาเหตุสำคัญเป็นเพราะว่าบริษัทรับรู้รายการภาระผูกพันผลประโยชน์พนักงานตามมาตรฐานบัญชีเป็นจำนวนเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ อัตราส่วนค่าสินไหมทดแทนต่อเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สุทธิมีระดับสูงขึ้นจาก 58.46% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเป็น 60.18% ซึ่งเกิดจากการที่ค่าสินไหมทดแทนต่ออุบัติเหตุของกรมธรรม์รถยนต์ภาคสมัครใจมีค่าเฉลี่ยสูงขึ้นจาก 21,432 บาท ในปี 2560 เป็น 21,781 บาท ในปี 2561

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายที่จะดำเนินการให้อัตราค่าสินไหมทดแทนต่อเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สุทธิอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยยุติการขายผ่านช่องทางการขายที่มีความเสี่ยงสูงเกินระดับที่เหมาะสม ทั้งจะหาทางเพิ่มยอดขายที่ความเสี่ยงจากการรับประกันภัยอยู่ในระดับที่รับได้

อย่างไรก็ตาม รายได้และกำไรจากการลงทุนสุทธิรวมกับรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่ายุติธรรมมี 11 ล้านบาท ต่ำกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 31 ล้านบาท สาเหตุสำคัญเนื่องจากรายได้และกำไรจากการลงทุนในหุ้น ได้รับผลกระทบจากการผันผวนของราคาหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

จีรพันธ์ อัศวะธนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ กล่าวว่า ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาขาดทุนสุทธิ 7.5 ล้านบาท ลดลง 9.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.9 ล้านบาท แต่หากเป็นช่วงครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับเหตุที่ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มียอดเปลี่ยนแปลงลดลงมากกว่า 20% ทั้งๆ ที่บริษัทมีรายได้จากการรับประกันภัยเพิ่มขึ้นถึง 73 ล้านบาท หรือ 11% แต่ในขณะเดียวกันบริษัทมีรายได้จากการลงทุนลดลง 28 ล้านบาท เนื่องมาจากสภาวะตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทยในปัจจุบัน ประกอบกับกฎเกณฑ์การคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิหลังหักภาษีลดลงกว่าปีที่ผ่านมามากกว่า 20%

อารยา สวัสดิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายบัญชีการเงิน บริษัท ไทยประกันภัย กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาบริษัทขาดทุนสุทธิ 8 ล้านบาท ลดลง 22 ล้านบาท หรือ 155% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการรับประกันภัยต่อลดลงรวมถึงค่าสินไหมที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น และหากเป็นช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีกำไรสุทธิ 6 ล้านบาท ลดลง 29 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 35 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากเทียบไตรมาสเดียวกันของปีก่อนกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา พบว่าบริษัทมีเบี้ยรับรวม 551 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท หรือ 5% ทำให้มีเบี้ยรับสุทธิ 378 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67 ล้านบาท คิดเป็น 21% เกิดจากการเพิ่มขึ้นของเบี้ยรถยนต์ โดยมีเบี้ยที่ถือเป็นรายได้สุทธิ 349 ล้านบาท เพิ่มขึ้่นจากผลประกอบการของเบี้ยรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น 50 ล้านบาท หรือ 17%

นอกจากนี้ ยังมีรายได้ค่าจ้างบำเหน็จจากการทำประกันภัยต่อ 59 ล้านบาท ลดลง 15 ล้านบาท หรือ 20% สาเหตุจากการปรับเปลี่ยนการทำประกันภัยต่อของประกันภัยรถยนต์ที่ลดลง ส่วนค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายในการจัดการสินไหมสุทธิ 336 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48 ล้านบาท หรือ 16% จากค่าสินไหมที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นในส่วนงานประกันรถยนต์ ประกันทางทะเลและประกันเบ็ดเตล็ด

สำหรับค่าจ้างบำเหน็จจากการรับประกันภัยโดยตรง 88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6 ล้านบาท หรือ 7% และค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยอื่น 70 ล้านบาท ลดลง 2 ล้านบาท หรือ 3% ทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายจากการรับประกันภัย 364 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48 ล้านบาท หรือ 15% สาเหตุจากค่าสินไหมทดแทนที่เพิ่มขึ้นจากการรับประกันภัยตรงข้างต้น โดย มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 69 ล้านบาท ลดลง 3 ล้านบาท หรือ 4% เนื่องจากการปรับลดค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ขณะที่รายได้จากการลงทุนและรายได้อื่นมี 14 ล้านบาท ลดลง 16 ล้านบาท หรือ 52% เนื่องจากภาวะการลงทุนในปัจจุบัน