บิ๊ก ปตท.แอ่นอกรับปีนี้รายได้และกำไรแจ่ม หลังไตรมาสแรกบริษัทในเครือทำกำไรได้มากกว่า 50%
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า ภาพรวมรายได้และกำไรของบริษัทปีนี้จะออกมาดีกว่าปีก่อน เพราะหากดูกำไรสุทธิงวดไตรมาสแรก ปี 2554 ของทุกบริษัทในเครือออกมามีกำไรสุทธิมากกว่า 50% ของกำไร 2553 ทั้งปี และเป้ารายได้ปีนี้ตั้งไว้ที่ 2.2-2.3 ล้านล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 1.9 ล้านล้านบาท และกำไรปีก่อนอยู่ที่ 8.3 หมื่นล้านบาท
“ผลประกอบที่ออกมาดีขึ้นเพราะราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นอัตราค่าการกลั่น และอัตรากำไรของธุรกิจปิโตรเคมีทั้งสายอะโรเมติกส์และโอลิฟินส์ดีขึ้น และกำลังผลิตส่วนเพิ่มก็เพิ่มขึ้น ดังนั้นหากไม่มีเหตุการณ์อะไรเข้ามากระทบรุนแรงกำไรทั้งปีจะดี”
สำหรับกรณีที่มีข่าวว่าบริษัท ไทยออยล์ (TOP) จะซื้อบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) นั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า ยังไม่มีข้อสรุปหรือได้รับข้อมูลใดๆ จาก TOP แต่หากมองเป็นโอกาสและช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโรงกลั่นการควบรวมกิจการก็เป็นเรื่องปกติ แต่ก็ต้องไม่ทำให้เกิดการผูกขาด ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการในไทยอยู่ 3 ราย คือ ESSO และเชฟรอน และบริษัท ซึ่งก็มีการแข่งขันดีอยู่แล้ว
นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TOP กล่าวว่า การจะเข้าซื้อ ESSO หรือไม่นั้น ถือเป็นหนึ่งในหลายแผนงานกลยุทธ์ระยะยาวถึงปี 2563 ซึ่งแผนธุรกิจทั้งหมดจะสรุปภายในเดือน ก.ค.-ส.ค.นี้เพื่อนำเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาภายในเดือน ต.ค.
ด้านบริษัทในธุรกิจไฟฟ้าประกาศผลดำเนินงานงวดไตรมาสแรกปรากฏว่ากำไรลดลง เช่น โกลว์พลังงาน (GLOW) มีกำไรสุทธิ 951.15 ล้านบาท ลดลง 42.90% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,667 ล้านบาท ขณะที่ราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) มีกำไรสุทธิ 1,196.15 ล้านบาท ลดลง 18.09% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,460 ล้านบาท เพราะบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี หยุดผลิตปีกว่า และยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าธรรมเนียมคืนเงินกู้ก่อนกำหนด และรายได้จากบริษัทร่วมบริหารลดลง เพราะทั้งสองบริษัทขาดทุนค่าเงิน
น.ส.มยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีเดือน พ.ค.นี้ จะขึ้นไปที่ระดับ 1,150-1,200 จุด จากเงินทุนไหลเข้าและวันที่ 16 พ.ค.นี้ MSCI จะปรับการคำนวณน้ำหนัก ซึ่งคาดว่าหุ้นไทยน่าจะเพิ่มน้ำหนักในหุ้นไทยเพิ่มขึ้น และนักลงทุนสถาบันเข้ามาซื้อหุ้นกว่าหมื่นล้านบาท ก็จะหนุนตลาดหุ้นจึงแนะนำให้ซื้อหุ้นขนาดใหญ่
แต่ในไตรมาส 3 หุ้นจะปรับฐานรอบใหม่หลังการเลือกตั้ง เพราะจากสถิติหลังเลือกตั้งหุ้นจะลดลง 10% แต่ก่อนเลือกตั้ง 3 เดือนหุ้นจะขึ้น 6% และสหรัฐยังไม่ต่อมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 2 แต่หุ้นไม่หลุด 1,000 จุด
ดัชนีหุ้นวันที่ 12 พ.ค. ปิด 1,086.27 จุด ลดลง 14.21 จุด หรือ 1.29% มูลค่าซื้อขาย 34,470 ล้านบาท