posttoday

บล.ดีบีเอส มั่นใจหุ้นไทยยังสดใสปีหน้า ดัชนีทะยาน 1848 จุด

07 ตุลาคม 2564

บล.ดีบีเอส มั่นใจหุ้นไทยยังสดใสปีหน้า ดัชนีทะยาน 1848 จุด พร้อมเตือนระเบิดเวลา 12 ปัจจัยเสี่ยงในประเทศ

โดยนางอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในโค้งสุดท้ายของปี 2564 ยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าสิ้นปีนี้ดัชนีจะแตะ 1695 จุด และปีหน้าอยู่ที่ระดับ 1848 จุด โดยอิงราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น หรือ P/E อยู่ที่ 19.3 เท่า

ปัจจัยที่สนับสนุนมาจากตัวเลขการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มส่งสัญญาณบวก โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ส.ค.-ก.ย.64) นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิกลับเข้ามาเป็นครั้งแรกของปี 2564 โดยในเดือนสิงหาคมมียอดซื้อสุทธิ 5,584 ล้านบาท และเดือน ก.ย.มียอดซื้อสุทธิ 1,0803 ล้านบาท แต่โดยรวมทั้งปีแล้วต่างชาติขายสุทธิ 79,172 ล้านบาท

ขณะเดียวกันแม้ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟดมีแผนที่จะลดวงเงิน QE ลงในเร็วๆนี้ และอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มกลับเป็นทิศทางขาขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2565 ซึ่งเร็วกว่าคาดการณ์เดิม...แต่การที่เฟดพยายามบริหารการให้ข้อมูลที่ดี จะช่วยให้นักลงทุนไม่ตระหนกมาก นอกจากนั้นการฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภค การลงทุน และภาคท่องเที่ยวของไทย รวมถึงการส่งออกที่ยังคงดีต่อเนื่อง จะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และทำให้ตลาดหุ้นในปี 2565 สามารถขยับขึ้นต่อได้

นางอาภาภรณ์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ปี 2564 จะเติบโตได้ไม่มาก คือ 0.7% แต่การเร่งกระจายวัคซีน จะทำให้ GDP ปีหน้าฟื้นตัวโต 3.9% ส่วนปัจจัยเสี่ยงในประเทศที่น่าเป็นห่วงและต้องจับตาอย่างใกล้ชิดถือเป็น ระเบิดเวลา 12 ปัจจัยเสี่ยง ประกอบด้วย 1. วิกฤตโรคระบาด 2. การชะลอตัวของเศรษฐกิจ 3. วิกฤตคนตกงาน 4. การขยายตัวของคนจน 5. วิกฤตการเมือง 6. วิกฤตทหาร 7. วิกฤตความเชื่อในสังคมไทย 8. ระเบิดรัฐธรรมนูญ 9. วิกฤตจากภายนอก (สงครามการค้า การเมือง การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ/การออกมาตรการใหม่ๆ ของประเทศขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐ จีน ยุโรป) 10. ความเปลี่ยนแปลงของอากาศ 11. วิกฤตภาพลักษณ์ และ 12. วิกฤตศรัทธา

สำหรับคำแนะนำ เน้นเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดีและมี ESG เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีการเติบโตยั่งยืน ธุรกิจเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ และมีต้นทุนเงินลงทุน (Cost of Capital) ที่ต่ำกว่า รวมทั้งหุ้นมีความผันผวนน้อยกว่าในระยะยาว ซึ่งหุ้นที่อยู่ในดัชนีหุ้นยั่งยืนและเราเลือกเป็นหุ้นเด่นในไตรมาส 4/64 ประกอบด้วย BDMS – ธีมเปิดเมืองและสังคมสูงวัย, KBANK – ธีมดิจิตอล แบงค์กิ้ง, GPSC - ธีมแบตเตอรี่และพลังงานทางเลือก, PTTEP – ธีมเปิดเมือง อุปสงค์น้ำมันสูงในช่วงฤดูหนาว และเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว, และ HFT – ธีมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

ด้านนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อํานวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวถึง หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์จากการที่ประเทศไทยมีความคืบหน้าเรื่องการฉีดวัคซีน ลดการระบาด และติดเชื้อลดลง ทำให้ภาครัฐออกโครงการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ เช่น โครงการ “เราเที่ยว ด้วยกันเฟส 3” , “ทัวร์เที่ยวไทย” และเริ่มเข้าสู่ไฮซีซันท่องเที่ยว ฝ่ายวิจัยของบริษัทแนะนำ ให้เลือกลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวเร็ว เช่น MINT , AOT , CPN , HMPRO , BTS

ขณะที่นายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปมีแนวโน้มกลับมาขยายตัว ซึ่งจะกระตุ้นเงินเฟ้อ ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เริ่มลดการผ่อนคลาย แต่แนวโน้มดอกเบี้ยยังคงต่ำมาก ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนยังคงมองหาผลตอบแทนส่วนเพิ่ม ประกอบกับสภาพคล่องที่สูงก็เป็นปัจจัยหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ต่อไป

สำหรับในมุมมองบล.ดีบีเอสฯ ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วจะ outperform ตลาดเกิดใหม่ในช่วงที่เฟดลดการผ่อนคลาย ในขณะที่การเติบโตเศรษฐกิจโลกที่แผ่วลง จะส่งให้นักลงทุนโยกเข้าลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโต(growth) จึงแนะนำธีมการลงทุน เน้นการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตดีจากการเร่งลงทุนด้านวิจัย และพัฒนารวมทั้งขยายกำลังการผลิต โดยกลุ่มเทคโนโลยีมีการลงทุนเพิ่มมากกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ จากที่เคยมีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 12% ของยอดลงทุนรวมทุกอุตสาหกรรมในปี 2551 ก็ได้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาที่ 18% ปีนี้

อย่างไรก็ตามนักลงทุนจะต้องตระหนักถึงปัจจัยความเสี่ยงจากความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน, การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล, เทคโนโลยี, สภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม, การลงทุนในอุตสาหกรรมเฉพาะมีความเสี่ยงสูงกว่าตลาดโดยรวม

นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อํานวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วงที่มีความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อสูง หลังจากที่สินทรัพย์ทางการเงินมีการปรับฐานในเรื่องเงินเฟ้อแล้ว การจัดสรรสินทรัพย์ทางการเงินรอบใหม่ ถ้าเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางดี จะทําให้มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่ม SET50 แต่จะมีแรงขายตราสารหนี้ แต่ถ้าแนวโน้มเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง จะมีแรงซื้อเก็งกำไรในกลุ่มทองคำและมีแรงขายตราสารหนี้ โดยภาพรวมตราสารหนี้เป็นลบทั้ง 2 สถานการณ์ในช่วงเงินเฟ้อสูง

สำหรับแนวโน้ม SET50 ทองคํา และค่าเงินบาท ตามทิศทางเทคนิค SET50 ติดแนวต้าน 1000/1050 แกว่งตัวในกรอบ กรอบล่าง 900-880 ถ้าหลุดแนวกรอบล่างมีโอกาสปรับตัวลงยาว ส่วนทองคําเริ่มมีโอกาสกลับมาสร้างฐานเพื่อปรับตัวขึ้น ขณะที่ค่าเงินบาท หากยังไม่หลุดต่ำกว่า 33.50/33.30 ยังเป็นการแกว่งตัวเพื่ออ่อนค่า