posttoday

เปิดใจ 'ปราเสริฐ-วิชัย' ผนึก BGHและ PYT รับกฏบัตรอาเซียนปี 2015

16 ธันวาคม 2553

ดีลประวัติศาสตร์ของวงการธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจเพื่อสุขภาพ หลัง บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH)ผู้ประกอบการเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช ของ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ประกาศควบรวม บริษัท เฮลท์ เน็ตเวิร์ค ผู้ประกอบการเครือโรงพยาบาลพญาไทและโรงพยาบาลเปาโล ของนายวิชัย ทองแตง มีมูลค่าเงินลงทุนรวมเบ็ดเสร็จ 1.2 หมื่นล้านบาท

ดีลประวัติศาสตร์ของวงการธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจเพื่อสุขภาพ หลัง บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH)ผู้ประกอบการเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช ของ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ประกาศควบรวม บริษัท เฮลท์ เน็ตเวิร์ค ผู้ประกอบการเครือโรงพยาบาลพญาไทและโรงพยาบาลเปาโล ของนายวิชัย ทองแตง มีมูลค่าเงินลงทุนรวมเบ็ดเสร็จ 1.2 หมื่นล้านบาท

 

เปิดใจ 'ปราเสริฐ-วิชัย' ผนึก BGHและ PYT รับกฏบัตรอาเซียนปี 2015

หลังควบรวมกิจการ BGH จะถือหุ้นเกือบ 100% ใน PYT ขณะที่ เฮลท์ เน็ตเวิร์ค ของนายวิชัยจะเข้าไปถือหุ้นมากกว่า 15% ใน BGH หรือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 โดยใช้วิธีแลกหุ้นโดย BGH ออกหุ้นจำนวน 307.19 ล้านหุ้นและนำหุ้นจำนวน 230.87 ล้านหุ้น ชำระค่าซื้อกิจการ PYT ให้กับบริษัท เฮลท์ เน็ตเวิร์ค ผู้ถือหุ้นใหญ่ใน PYT จำนวน 1,151.11 ล้านหุ้น หรือ 49.17% เมื่อนับรวมกับหุ้นเดิมที่ BGH ถืออยู่แล้ว 19.43% ก็ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้น ที่เหลืออีก 734 ล้านหุ้น หรือ 31.36% ในราคา 3.70 บาทต่อหุ้น ให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อยในสัดส่วน 10.17 หุ้นของ PYT ต่อ 1 หุ้น BGH ที่ราคา 37.75 บาท

นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ เปิดใจว่า การควบรวมกิจการไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของการทำธุรกิจ เพื่อต้องการผนึกธุรกิจให้มีความแข็งแกร่ง แข่งขันได้ และรองรับกฎบัตรประชาคมอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือในปี 2015 ที่ประชาชนใน 11 ประเทศ กว่า 600 ล้านคน สามารถทำมาหากินได้อย่างเสรี

หากยังเป็นธุรกิจขนาดเล็กก็จะอยู่ลำบาก ด้วยเหตุนี้เราจึงคุยกันและมีความคิดตรงกันว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจการแพทย์ของคนไทยยืนอยู่ได้โดยไม่ถูกซื้อกิจการไปเสียก่อน เพราะเชื่อว่าหลังปี 2555 จะเห็นต่างชาติซื้อกิจการธุรกิจการแพทย์ในไทยมากขึ้น

“ผู้บริหารของทั้งสองกลุ่มคุยกันมาตลอด และเห็นว่าถึงเวลาที่ต้องรวมกิจการกัน ถ้าไม่ทำใครจะไปรู้ว่าธุรกิจการแพทย์ทั้งระบบอาจไม่ใช่ของคนไทย จึงต้องรวมตัวเพื่อสร้างความแข็งแรง เพื่อสู้กับต่างชาติได้เมื่อเปิดเสรี”

หลังการควบรวม กลุ่ม BGH มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 1 ในเอเชีย และเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก รองจากออสเตรเลีย โดยวัดจากขนาดของสินทรัพย์และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) เพราะตัวเลขสำคัญไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ กำไร รายได้ มีการขยายตัวไม่ต่ำกว่า 40% ส่วนมาร์เก็ตแคปจะโตมากกว่า 25% และจะมีเตียงคนไข้ระดับ 4,639 เตียง หรือ 15% ของเตียงเอกชนทั้งหมดที่มีอยู่ 3.54 หมื่นเตียง

นพ.ปราเสริฐ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลมีความชัดเจนในนโยบายไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจทางการแพทย์ (Medical Hub) เพราะหากดูตัวเลขทัวร์สุขภาพที่เข้ามานั้น สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมาก เพราะต่างชาติ 1 คน ที่เข้ามาจะมีคนติดตามมาอีก2 คน

ทั้งนี้ จากตัวเลขของบอสตัน คอนซัลแทนต์ กรุ๊ป ประเมินว่า ในปี 2555 จะมีนักท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพเข้ามาจำนวนมากและสร้างรายได้ให้กับประเทศ 4.5 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25% ของยอดใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพของทั่วโลก 1.8 ล้านล้านบาท

“เงิน 4.5 แสนล้านบาท สร้างรายได้ให้กับประเทศ แต่รัฐบาลยังลังเล ไม่กล้าทำศูนย์กลางทางการแพทย์ ขณะที่ประเทศใกล้เคียง ทั้ง มาเลเซีย เกาหลี พยายามแข่งกันเพื่อจะแย่งชิงเค้กก้อนนี้ แต่ไทยเหมือนไม่ให้ความสำคัญ”

ส่วนความกลัวปัญหาจะขาดแคลนแพทย์นั้นไม่น่าจะใช่ เพราะทุกวันนี้แพทย์จบใหม่ปีละ 2,000 คน และมีแพทย์ที่ว่าง 800 คน ซึ่งเราจะพัฒนาตรง ไม่ต้องกลัว และ BGH จะไม่มุ่งหากำไรจากการให้บริการ แต่จะมุ่งกำไรจากไม่ใช่ธุรกิจหลัก เช่น พวกแล็บต่างๆ ซึ่งการควบรวมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริการและลดต้นทุนลงได้

นายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการPYT และเป็นเจ้าของ เฮลท์ เน็ตเวิร์ค กล่าวว่า การตัดสินใจผนึกกิจการครั้งนี้ก็เพื่อความแข็งแกร่งของธุรกิจ และเพื่อการเป็นผู้นำในด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ในภูมิภาคนี้

“ผมใช้เวลาในการหารือและดำเนินการประมาณ 50 วัน เพื่อผลักดันให้ดีลครั้งนี้เกิดขึ้น เพราะในชีวิตผมซึ่งเดินทางในธุรกิจสุขภาพมา 12 ปี และเป็น 12 ปี ที่เหนื่อยยาก เจออุปสรรคมากมาย แต่ด้วยตระหนักดีว่าธุรกิจสุขภาพเป็นธุรกิจที่น่าภูมิใจของคนไทย และอยากเห็นธุรกิจของคนไทยเติบโตและแข็งแรง ที่ผ่านมามีต่างชาติหลายรายที่เข้ามาเจรจาเพื่อขอซื้อ แต่ก็ไม่ตัดสินใจขาย และสุดท้ายก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ซึ่งอนาคตกลุ่มนี้จะกลายเป็นธุรกิจที่มีความมั่นคง แข็งแกร่ง และสร้างความสั่นสะเทือนให้กับธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ได้

การรวมกิจการกันครั้งนี้ถือว่า Win Winกันทั้งคู่ ผมก็ยังคงอยู่ในธุรกิจสุขภาพ ไม่ได้ล้มหายไปไหน และการเข้าไปถือหุ้นใน BGH ซึ่งถือว่าเป็นที่ 1 ของประเทศไทยก็ไม่ใช่เรื่องที่ธรรมดา และอนาคตก็จะเป็นกลุ่มโรงพยาบาลที่แข็งแกร่งและเป็นผู้นำได้