posttoday

ตลท.เผยเดือนพ.ย.เป็นเดือนแรกที่ต่างชาติขายหุ้นหลังซื้อต่อเนื่อง

08 ธันวาคม 2553

ตลท.เผยเดือนพ.ย.เป็นเดือนแรกที่ต่างชาติขายหุ้นหลังซื้อต่อเนื่องมา 5 เดือนติด ส่วนปี 2554 เชื่อตลาดหุ้นไทยไปต่อได้ เหตุสภาพคล่องยังล้นโลก แต่เงินต่างชาติอาจไหลเข้าน้อยกว่าปีนี้

ตลท.เผยเดือนพ.ย.เป็นเดือนแรกที่ต่างชาติขายหุ้นหลังซื้อต่อเนื่องมา 5 เดือนติด ส่วนปี 2554 เชื่อตลาดหุ้นไทยไปต่อได้ เหตุสภาพคล่องยังล้นโลก แต่เงินต่างชาติอาจไหลเข้าน้อยกว่าปีนี้

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยข้อมูลสรุปภาวะตลาดหลักทรัพย์และการซื้อขายหลักทรัพย์เดือน พ.ย. ที่ผ่านมาว่า ภาวะตลาดหลักทรัพย์ของไทยยังปรับตัวดีขึ้นทั้งด้านดัชนีราคาและมูลค่าการซื้อขาย โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดที่ 1,005.12 จุด เพิ่มขึ้น 2.10% จากสิ้นเดือนก่อน หน้า

อีกทั้งยังเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาคซึ่งส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงในเดือนนี้ ตามความกังวลของผู้ลงทุน เกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นของจีน และปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปที่เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้งซึ่งมีส่วนทำให้ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิเป็นเดือนแรกด้วยมูลค่า 6,432.34 ล้านบาท หลังเป็นผู้ซื้อสุทธิติดต่อกัน 5 เดือน ขณะที่ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิรวม 9,923.17 ล้านบาท

ส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 42,266.40 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์เริ่มเปิดการซื้อขาย เช่นเดียวกับตลาดอนุพันธ์ที่ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 25,450 สัญญา ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดอนุพันธ์เริ่มเปิดการซื้อขาย ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องโดยอยู่ที่ระดับ 8,215,638 ล้านบาท ขณะที่บริษัทจดทะเบียนมีการระดมทุนในรูปตราสารทุนรวม 3,164.93 ล้านบาท

สำหรับตลาดหุ้นปีหน้า นายยรรยง ไทยเจริญ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลท.เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนและบรรยากาศในตลาดหุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มที่สดใส เพราะปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยยังคงมีความแข็งแกร่ง และบริษัทจดทะเบียนไทยก็มีผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง ที่สำคัญเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากที่สภาพคล่องในตลาดโลกยังล้นอยู่ แต่อย่างไรก็ตามมองว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาจะใกล้เคียงหรือน้อยกว่าปีนี้ เนื่องจากราคาหุ้นบางตัวก็ปรับตัวขึ้นสูงแล้ว   

อย่างไรก็ตาม แม้ราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พี/อี) หุ้นไทยอย่าที่14-15 เท่า เชื่อว่ายังไม่สูงมากและมองว่าไม่มีสัญญาณที่ทำให้เกิดฟองสบู่ในหุ้น แต่นักลงทุนควรพิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานและอนาคตของหุ้นก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง