posttoday

เงินทะลักเข้าหุ้นเดือนธ.ค.

08 ธันวาคม 2553

บล.เอเซีย พลัส ชี้เงินไหลเข้าหุ้นหนักเดือน ธ.ค. แค่ 4 วัน ซื้อสุทธิแล้ว กว่า 7,000 ล้าน ดันดัชนีพุ่งได้อีก |3-4% ด้านผู้จัดการกองทุนยังชอบหุ้น ขณะที่ทองคำ-สินค้าโภคภัณฑ์วิ่ง

บล.เอเซีย พลัส ชี้เงินไหลเข้าหุ้นหนักเดือน ธ.ค. แค่ 4 วัน ซื้อสุทธิแล้ว กว่า 7,000 ล้าน ดันดัชนีพุ่งได้อีก |3-4% ด้านผู้จัดการกองทุนยังชอบหุ้น ขณะที่ทองคำ-สินค้าโภคภัณฑ์วิ่ง

ดัชนีหุ้นไทยยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยดัชนีขึ้นมาปิดที่ 1,040.72 จุด เพิ่มขึ้น 6.66 จุด หรือ 0.64% มูลค่าการซื้อขายกว่า 37,008 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิอีก 2,032 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASP) ประเมินว่า ช่วงเดือน ธ.ค.นี้ จะมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นอย่างหนัก โดยเฉพาะเงินจากสถาบันในประเทศที่จะเข้ามาซื้อ ซึ่งจะทำให้ดัชนีสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก 3-4%

“ปี 2554 กำไรสุทธิของตลาดมีแนวโน้มที่จะเติบโตกว่า 15% ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุผลจูงใจให้เกิดแรงซื้อ LTF-RMF มากกว่าทุกปีที่ผ่านมา และนั่นหมายถึงนักลงทุนสถาบันอาจเข้าซื้อในช่วงเดือน ธ.ค.นี้ มากกว่าค่าเฉลี่ย 2 ปีที่ผ่านมา ที่ซื้อกว่า 1.45 หมื่นล้านบาท”

นอกจากนี้ การที่ราคาน้ำมันในตลาด NYMEX ที่มาจ่อใกล้เหนือ 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานจะรับประโยชน์ และกลุ่มธนาคารที่ได้รับประโยชน์โดยตรงชัดๆ จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นแถมยังใกล้ถึงช่วงประกาศผลกำไร

ปัจจัยนี้ทำให้นักลงทุนต่างประเทศและสถาบันในประเทศเข้าไล่ซื้อหนักในช่วงครึ่งแรกของเดือนนี้ และในส่วนของ เงินทุนไหลเข้าคาดว่าปีนี้จะทำความประหลาดใจด้วยการเข้าซื้อหนัก ซึ่งต่างจากปีที่ผ่านๆ มาที่เน้นขายหรืออยู่เฉยๆ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นเดือน ธ.ค. เห็นสัญญาณซื้อชัดเจนและจนถึงวันที่ 7 ธ.ค. ต่างชาติซื้อสุทธิแล้ว 7,395 ล้านบาท

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ดัชนีหุ้นที่พุ่งขึ้นมาจากนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรหุ้นขนาดใหญ่ 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะบริษัท ปตท. (PTT) ที่ขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ขึ้นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับดอกเบี้ยขึ้น

บล.พัฒนสิน (CNS) เปิดผลสำรวจผู้จัดการกองทุนล่าสุดพบว่า ผู้จัดการกองทุนคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงทองคำ

น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า ทางวายแอลจีได้ปรับเปลี่ยนมุมมองสู่การไต่ระดับเป้าหมายเป็น 1,435 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ (20,250 บาท) และ 1,450 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ (20,480 บาท) ในสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงต่อการปรับขึ้นของราคาทองคำคือมาตรการควบคุมเงินเฟ้อและสภาวะฟองสบู่ของจีน ซึ่งล่าสุดเริ่มมีกระแสข่าวว่าทางการจีนอาจมีการปรับดอกเบี้ยในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งหากทางการจีนมีการปรับดอกเบี้ยขึ้นจริง อาจส่งผลให้ราคาทองคำอ่อนค่าลงได้

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้รอซื้อเมื่อราคาย่อตัวมาบริเวณแนวรับ 1,410 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ (19,900 บาท) หรือ 1,380 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ (19,500 บาท) หากราคาหลุดแนวรับ 1,380 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แนะนำให้ชะลอการเข้าซื้อทันที