posttoday

ยุคทอง (Golden Age) จบไปแล้ว กลายเป็นยุคเทา (Grey Age)

08 สิงหาคม 2562

โดย...วรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.บัวหลวง

โดย...วรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.บัวหลวง

ในทางประชากรศาสตร์ Baby Boomer คือ ช่วงที่มีเด็กแห่กันมาเกิดเป็นจำนวนมากในช่วงสั้นๆ โดยช่วงที่มี Baby Boom แบบจัดหนักคือ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เด็กๆ พากันแห่กันไปเกิดในประเทศผู้ชนะสงครามกันมากมาย เช่น Baby Boomerชาวอเมริกันก็พากันมาเกิดในช่วง 1946-1964 หลังทหารอเมริกันปลดประจำการและกลับบ้าน ในขณะที่แคนาดาเกิด Baby Boomer ในช่วงปี 1947-1966 เพราะทหารแคนาดาปลดประจำการหลังทหารอเมริกัน

Baby Boomer ในช่วงอื่นๆ ก็มี แต่ไม่มากเท่ายุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างปี 2000 ก็มีคนเห่อ "มิลเลเนียม" ทั้งยังเป็น "ปีมังกรทอง" ก็เลยอยากให้ลูกเกิดมารับไอของมังกรเทพ เลยขยันขันแข็งสร้างผลผลิตกันอุตลุด

กลุ่ม Baby Boomer ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มทยอยเกษียณอายุกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ด้วยจำนวนประชากรผู้มากวัยวุฒิของประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ มีมากกว่าผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน แถมการแพทย์ก็ก้าวหน้าทำให้อายุยืนกว่าสมัยก่อน ในขณะที่คนเกษียณส่วนใหญ่ไม่สามารถสร้างรายได้ แถมยังบริโภคน้อยลง

ยุคทอง (Golden Age) จบไปแล้ว กลายเป็นยุคเทา (Grey Age)

ดังนั้น ในระยะยาวก็จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตจนถึงขั้นขาดทุนได้ ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจ เพราะ Baby Boomer ซึ่งกำลังซื้อหลักของประเทศกำลังเลื่อนไปสู่วัยที่มีแต่ใช้เงินเก็บ โดยหาเงินเพิ่มไม่ได้

เมื่อมาผนวกกับเรื่องที่คนรุ่นหลังๆ ไม่อยากสมรส ไม่ยอมมีบุตร ก็ยิ่งทำให้สัดส่วนประชากรสูงวัยจะมากกว่าสัดส่วนคนมีแรงทำงาน ซึ่งถ้ารัฐไม่วางแผนจัดการโครงสร้างประชากรให้ดี ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจจะร้ายแรงกว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างสึนามิ

กลุ่ม Baby Boomer ของสหรัฐฯ เคยมีสัดส่วนมากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น แต่ในวันนี้ เขากำลังเกษียณด้วยอัตรา 10,000 คนต่อวันในตลอดช่วง 17 ปีข้างหน้า

ยุคทอง (Golden Age) ในปี 1982-2007 จึงจบไปแล้ว กลายเป็นยุคเทา (Grey Age) เพราะ Baby Boomer วัยหนุ่มสาว อันเป็นยุคทอง เพราะสร้างผลผลิตกับความมั่งคั่งแก่เศรษฐกิจ ได้จบลงไปแล้ว และกำลังกลายเป็นยุคเทาตามสีของเส้นผม

ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ หลังจากสร้างผลผลิตให้แก่ประเทศ ให้แก่โลกจำนวนมากแล้ว Baby Boomer กำลังแก่ลงไปเรื่อยๆ จนเป็นผู้ชราที่ไม่อาจสร้างผลผลิตให้ได้อีก ไม่สามารถหารายได้เพิ่มเพราะสังขารเสื่อมถอยตามอายุ และอาจจะมีคนชราเพียง 1% ที่สามารถเลี้ยงดูตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสวัสดิการรัฐ

มันจะเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าที่สุด ถ้าไม่มองในแง่สังคมและศีลธรรม เพราะสรุปได้ว่า "แม้จะเคยสร้างผลผลิตจนเกิดคุณประโยชน์แก่ชาติแค่ไหน เมื่อแก่แล้วผู้ชราก็กลายเป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจนั่นเอง"

ชนเผ่าต่างๆ เวลาย้ายถิ่นฐานทำกิน ก็จะทิ้งผู้เฒ่าไว้ข้างหลัง บางชนเผ่าเอาคนชราไปทิ้งให้ตายข้างนอกท่ามกลางหิมะและน้ำแข็ง จะได้ไม่เปลืองอาหารที่ต้องเก็บไว้ให้คนหนุ่มสาวกับเด็กๆ

ยุคทอง (Golden Age) จบไปแล้ว กลายเป็นยุคเทา (Grey Age)

ที่น่าประทับใจก็คือ คนชราเหล่านี้ เขาน้อมรับชะตากรรมอย่างเสียสละและสง่างามที่สุด เพราะแม้ในช่วงที่เผชิญกับความอดอยาก ผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะยอมอดเพื่อให้ลูกหลานได้มีชีวิตอยู่ต่อไป

เมื่อคนชราส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาระบบสวัสดิการของรัฐ ก็น่าห่วงว่า ระบบสวัสดิการรัฐ หรือ Social Welfare อย่างประกันสังคมถูกสร้างขึ้นมาให้ทำงานได้ ในขณะที่เศรษฐกิจมีการเติบโต ประชากรวัยทำงานมีการขยายตัวเท่านั้น และมันเป็น Unfunded เหมือนแชร์ลูกโซ่ (รัฐบาลไม่ได้กันเงินใส่ลงไปให้ครบ แต่ตั้งงบประมาณใช้จ่ายเป็นปีต่อปี และระบบนี้อยู่ได้ เพราะมีคนในวัยทำงานส่งเงินเข้าระบบ หากคนวัยทำงานน้อย คนแก่เยอะ มันจะไม่พอ)

ถ้ารัฐบาลสัญญาไว้ว่า จะให้เงิน แต่แล้วไม่ให้ เพราะไม่มีเงินพอ มันจะเกิดอะไรขึ้น จะเกิด Social Unrest ปล้นชิงอาหารและทรัพยากรกันอย่างที่บางประเทศกำลังเผชิญอยู่ไหม

ดังนั้น สำหรับคนที่ยังไม่ชรา ยังไม่เกษียณ ท่านจะต้องเลิกคิดว่า จะเอาชีวิตบั้นปลายไปพึ่งพาระบบรัฐสวัสดิการเป็นหลัก เพราะระบบของเราก็ Unfunded เช่นกัน ท่านต้องเตรียมแผนเพื่อตนเอง

ในส่วนของรัฐบาลนั้น ขอกราบงามๆ สามครั้ง เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ในลำดับต้นๆ ให้เรื่องนี้มาก่อนเรื่องอื่นใด

แต่ก็ใจเสียเหมือนกัน ที่เห็นกระทรวงสำคัญที่หลายท่านพุ่งเป้าไปหา กลับไม่ใช่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งๆ ที่ขอบข่ายงานที่กระทรวงนี้จะทำให้ประชาชนในสังคมอยู่ดีมีสุขได้ มันกว้างขวางมาก