posttoday

KTIS เข้าสู่มาตรฐาน VIVE ตอกย้ำการเติบโตอย่างยั่งยืน

05 สิงหาคม 2562

VIVE เป็นโปรแกรมระดับโลกสำหรับภาคธุรกิจที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนามาตรฐานความยั่งยืนขององค์กร โดยให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน

VIVE เป็นโปรแกรมระดับโลกสำหรับภาคธุรกิจที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนามาตรฐานความยั่งยืนขององค์กร โดยให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน

นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น หรือ กลุ่ม KTIS เปิดเผยว่า กลุ่ม KTIS ได้ร่วมเป็นพันธมิตรที่สมบูรณ์แบบสำหรับโปรแกรมความยั่งยืนที่มุ่งเน้นการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และการสร้างคุณค่าตลอดห่วงโซ่อุปทาน การผลิตน้ำตาลทราย ตั้งแต่วัตถุดิบจากไร่อ้อย ไปจนถึงผู้บริโภค ที่ใช้ชื่อโปรแกรมว่า VIVE

สำหรับ VIVE เป็นโปรแกรมระดับโลกสำหรับภาคธุรกิจที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนามาตรฐานความยั่งยืนขององค์กร โดยให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงผู้ที่มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ทั้งชุมชน นักลงทุน ลูกค้า คู่ค้า พนักงาน เกษตรกร และผู้ถือหุ้น มีการตรวจสอบประเมินผลอย่างโปร่งใส สามารถสืบค้นย้อนกลับได้ในทุกขั้นตอน อีกทั้งยังครอบคลุมถึงแง่มุมสำคัญในเรื่องความยั่งยืนด้านบุคลากร การให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และการสร้างผลกำไรไว้อย่างครบถ้วน จึงช่วยลดภาระและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการตรวจสอบภายในได้ด้วย

ทั้งนี้ VIVE เชิญให้กลุ่ม KTIS เป็นพันธมิตรที่สมบูรณ์แบบจากการพิจารณาทุกมาตรฐานด้านความยั่งยืนของกลุ่ม KTISโดยระบุด้วยว่า กลุ่ม KTISเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของประเทศไทย มีความสามารถในการส่งออกน้ำตาล สู่ตลาดโลกอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ส่วนในประเทศไทยนั้น กลุ่ม KTIS ก็เป็นผู้จำหน่ายน้ำตาลรายใหญ่ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในประเทศ โดยบริษัทขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงหลายบริษัทมีสัญญาซื้อน้ำตาลจาก KTIS อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เช่น โคคา-โคลา ซึ่งเป็นพันธมิตรความยั่งยืนในโปรแกรม VIVE ด้วยเช่นกัน

นายณัฎฐปัญญ์ กล่าวด้วยว่า โปรแกรม VIVE จะช่วยส่งเสริมธุรกิจของกลุ่ม KTIS สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในหลายด้าน เช่น การขยายตลาดของกลุ่ม KTIS สู่คู่ค้ารายใหญ่ๆ ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานความยั่งยืนเช่นกัน โปรแกรมนี้จะทำให้กลุ่ม KTIS โดดเด่นด้วยการเป็นที่ยอมรับว่าทำธุรกิจอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุน ในขณะที่ประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มสูงขึ้นจากการใช้ทรัพยากรต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

“โปรแกรม VIVE ยังช่วยสร้างความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ระหว่างพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทานความยั่งยืนตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย โรงงาน ไปจนถึงผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ด้วยข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ สามารถนำไปใช้ประเมินความเสี่ยงและโอกาส เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในเชิงบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย” นายณัฎฐปัญญ์กล่าว