posttoday

ไทยแห่ลงทุนนอก

02 กรกฎาคม 2560

ธปท.แจง5เดือนเงินไหลออก3.5แสนล.ลุยตราสารหนี้ตลาดหุ้นผลตอบแทนสูง

ธปท.แจง5เดือนเงินไหลออก3.5แสนล.ลุยตราสารหนี้ตลาดหุ้นผลตอบแทนสูง

โพสต์ทูเดย์ - แบงก์ชาติเผย 5 เดือนแรกเงินทุนไหลออกไปลงทุนนอก 3.5 แสนล้าน หาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในประเทศ

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ว่า มีเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิไหลออกไปต่างประเทศ 1.03 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3.5 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เฉพาะเดือน พ.ค.เดือนเดียว มีเงินทุนไหลออกมากถึง 3,794 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.3 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่มีเงินไหลเข้าสุทธิ 241 ล้านดอลลาร์ หรือ 8,194ล้านบาท

ทั้งนี้ เนื่องจากมีการไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของนักลงทุนไทย ทั้งในตราสารหนี้ที่ไปลงทุนในจีน มาเก๊าญี่ปุ่น และฮ่องกง และตราสารทุนในไอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก และเยอรมนี การนำเงินออกไปฝากในต่างประเทศของสถาบันการเงินเพื่อปรับฐานะเงินตราต่างประเทศ และการลงทุนของกองทุนรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ)ในฮ่องกง สิงคโปร์ และสหรัฐ

นอกจากนี้ ยังมีการออกไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (ทีดีไอ) ของภาคธุรกิจไทยรวมแล้วเดือน พ.ค. มูลค่า 1,749 ล้านดอลลาร์ หรือ 5.95 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการให้สินเชื่อทางการค้าและสินเชื่อระหว่างธุรกิจในเครือ รวมถึงการนำส่งเงินกำไรของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกลับไปบริษัทแม่ในต่างประเทศ

ทั้งนี้ เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(เอฟดีไอ) ยังเข้ามาในไทยต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีทั้งสิ้น 4,101 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่องและสอดคล้องกับประเทศอื่นในภูมิภาค

นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. เปิดเผยว่า แม้ว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายจะไหลออกสุทธิในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา แต่ค่าเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่อง เพราะดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่เกินดุลสูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค ทำให้ในช่วงที่ส่งออกขยายตัวดีมีรายได้เข้ามามาก แต่เมื่อนำไปแลกแปลงเป็นเงินบาทอาจมีรายได้ในรูปเงินบาทลดลงบ้าง แต่เงินบาทไม่ได้แข็งค่าที่สุดในเมื่อเทียบกับสกุลในภูมิภาค โดยต้นปีถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่า 5.4% อยู่ระดับกลางของภูมิภาค

สถาบันทอมป์สัน รอยเตอร์ส ระบุว่าเศรษฐกิจที่ปรับตัวแข็งแกร่ง และความต้องการผลตอบแทนสูงของนักลงทุน ส่งผลให้บรรดาประเทศกำลังพัฒนาออกจำหน่ายตราสารหนี้ 3.55 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 12 ล้านล้านบาท โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ สูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี ซึ่งประเทศเอเชีย-แปซิฟิก ออกตราสารหนี้ถึง 50% ของการจำหน่ายตราสารหนี้ทั้งหมด

นายไมเคิล พาวเวอร์ นักกลยุทธ์จากสถาบันการลงทุน อินเวสเทก แอสเซตแมเนจเมนต์ กล่าวว่า ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย-แปซิฟิก ต้องการระดมเงินทุนเพิ่มขึ้น ขณะที่นักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยก่อนหน้านี้อัตราดอกเบี้ยต่ำในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า

นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัยผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ภัทร กล่าวว่า ครึ่งปีหลังหุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว แต่ระดับราคาและมูลค่าอาจจะตึงตัวในบางภูมิภาค จึงแนะนำให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นใกล้เคียงกับระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ และควรกระจายความเสี่ยงไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยใช้กลยุทธ์ซื้อเมื่อราคาลดลง

ด้านหุ้นต่างประเทศ แนะนำให้ลงทุนอย่างกระจายความเสี่ยงเพื่อลดความเสี่ยง โดยชอบตลาดหุ้นยุโรปและตลาดเกิดใหม่ ในขณะที่ตลาดสหรัฐมีความแข็งแกร่งและวงจรของกำไรอยู่ในระดับที่น่าสนใจ แต่ราคาอาจจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับค่อนข้างแพง

สำหรับแนวโน้มหุ้นไทยจะขึ้นไม่มาก และคงเป้าหมายดัชนีสิ้นปีที่ 1,600 จุด เพราะกำไรบริษัทจดทะเบียนจำกัด