posttoday

หุ้นเช้า1พ.ย.ปิดบวก 8.30 จุด

01 พฤศจิกายน 2559

ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,504.02 จุด เพิ่มขึ้น 8.30 จุด หรือ 0.55%มีมูลค่าการซื้อขาย 26,110.63 ล้านบาท

ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,504.02 จุด เพิ่มขึ้น 8.30 จุด หรือ 0.55%มีมูลค่าการซื้อขาย 26,110.63 ล้านบาท

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่

1.BANPU ปิดที่ 19.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.90 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,095.56  ล้านบาท
2.IVL ปิดที่ 30.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,709.95  ล้านบาท
3.BPP ปิดที่ 28.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,706.83 ล้านบาท
4.BCPG ปิดที่ 14.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,276.19  ล้านบาท
5.KBANK ปิดที่ 172.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 836.12  ล้านบาท
 
นาย ณัฐชาต เมฆมาสิน  ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้  กล่าวว่า  เช้าวันนี้จีนรายงานตัวเลข PMI ภาคการผลิตประจำเดือนตุลาคมที่ระดับ 51.2 ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ 50.3 อย่างมีนัยสำคัญ โดยตัวเลขยอดคำสั่งซื้อใหม่   ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนอีกด้วยซึ่งจะเป็นจิตวิทยาเชิงบวก ต่อตลาดหุ้นเอเชียในช่วงเช้าวันนี้รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย ประเมินแนวรับ  1,482 แนวต้าน 1,512

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงหลุดระดับ 50 เหรียญฯต่อบาร์เรลอีกครั้งหลังจากการประชุมร่วมของตัวแทนจากกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน นอกจากนั้นภายในกลุ่ม OPEC ด้วยกันเองก็ยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการจัดสรรโควต้าใหม่ระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งดูเหมือนว่าเริ่มมีหลายๆประเทศไม่อยากจะถูกบีบบังคับในข้อตกลงนี้ อาทิ อิรัก อิหร่าน ไนจีเรีย ลิเบีย มองปัจจัยดังกล่าวอาจกดดันการปรับตัวของหุ้นกลุ่มพลังงานในระยะสั้น

นอกจากนี้ยังต้อง  ติดตามการประชุม BoJ ซึ่งจะทราบผลในช่วงครึ่งวันเช้านี้ ล่าสุดตลาดคาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามเราไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ BoJ อาจตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงจากเดิมที่ระดับ -0.1% เพื่อที่จะทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีความชันสูงขึ้น ซึ่งถ้าหากเกิดขึ้นจริง อาจเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดทุนทั่วโลกในระยะสั้น
 
สำหรับการลงทุนช่วงเช้าจะเห็นว่าหุ้นรับเหมาก่อสร้าง คึกคัก หลัง  รฟม.เปิดเผยรายชื่อผู้รับที่ยื่นประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มและเตรียมที่จะเปิดซองในวันที่ 6   ม.ค. ปีหน้า มองว่าการจับมือกันระหว่าง CK และ STEC ในการเข้าร่วมประมูลทั้ง 6 สัญญาครั้งนี้เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินก่อสร้างขนาดใหญ่ที่จะเกิดขึ้นตลอดช่วง 4-5 ปี ข้างหน้านี้

โดยในหุ้นเด่นกลุ่มรับเหมาหลักยังคงเลือก CK  และสำหรับผู้รับเหมางานฐานรากนั้นเลือก SEAFCO   เนื่องด้วยงานประมูลฐานรากที่จะเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ และข้อได้เปรียบในแง่ความสัมพันธ์อันดีกับผู้รับเหมาขนาดใหญ่อย่าง CK