posttoday

หุ้นเอเชียดาหน้าปรับฐาน

11 สิงหาคม 2553

ตลาดหุ้นเอเชียปรับฐานถ้วนหน้า ไทยขึ้นมาแรงก็ลงหนัก 1.5% ไม่น่ากลัว รอจังหวะช้อนหุ้นดี

ตลาดหุ้นเอเชียปรับฐานถ้วนหน้า ไทยขึ้นมาแรงก็ลงหนัก 1.5% ไม่น่ากลัว รอจังหวะช้อนหุ้นดี

 

หุ้นเอเชียดาหน้าปรับฐาน

หุ้นเอเชียร่วงทุกตลาด นำโดยจีน ดิ่งหนักสุด 2.89% ตามด้วยไทย ทรุด 1.51% ใกล้เคียงกับตลาดฮ่องกง ติดลบ 1.50% ซึ่งเป็นการปรับฐานแรงวันแรกหลังจากปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาหลายวัน
โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่วิ่งมารวดเดียว และนับตั้งแต่ต้นปีขึ้นมาแล้ว 19% ถือว่าสูงที่สุดอันดับสามของโลก และเพิ่งมาแตะเบรกที่ระดับ 861.95 จุด ลดลง 13.23 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายปานกลาง 33,405 ล้านบาท แต่ต่างชาติยังซื้อต่อ 149 ล้านบาท

นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) และนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นที่ลดลงแรงครั้งนี้ไม่น่ากลัว คาดว่าเป็นเพียงการปรับฐานเท่านั้นและเป็นเรื่องที่ดี เพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนระยะยาวเข้ามาลงทุนได้มากขึ้น

“หุ้นที่ขึ้นมาอย่างเดียว เล่นยาก แม้เงินต่างชาติที่เข้ามารอบนี้ของดีบีเอสจะกระจายมาจากทั้งสหรัฐ ยุโรป และในภูมิภาค แต่เป็นเงินลงทุนระยะสั้น หากหุ้นไม่ปรับฐานเลย ตลาดก็จะไปต่อลำบากและเงินนอกก็ไม่เข้ามาอย่างจริงจัง” นางภัทธีรา กล่าว

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้น นางภัทธีรา กล่าวว่า ดัชนีคงจะปรับฐานหรือย่ำอยู่กับที่อีกระยะหนึ่ง แต่ต่างชาติไม่ได้ขายเพื่อทิ้งตลาด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยและเอเชียยังขยายตัวสูง รวมถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ออกมาดีเกินคาดหลายแห่ง

นอกจากนี้ เงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นก็จะจูงใจให้เงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนมากขึ้น

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยและเอเชียปรับฐาน ส่วนหนึ่งเนื่องจากนักลงทุนกังวลเรื่องปัญหาเงินเฟ้อของจีน แต่เชื่อว่าเป็นการขายทำกำไรเท่านั้น

“ดัชนีคงจะเคลื่อนไหวแถว 860 จุด และหากยังอ่อนตัวลงต่อก็เป็นจังหวะให้นักลงทุนทยอยซื้อหุ้นชั้นดีเก็บไว้ เช่น บริษัท การบินไทย (THAI) บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บริษัท ปตท.เคมิคอล (PTTCH) เพราะ SCC PTTCH ธุรกิจปิโตรเคมีได้ผ่านจุดแย่ที่สุดไปแล้ว ขณะที่เงินที่ได้ทุ่มลงทุนไปนับแสนล้านบาทจะเริ่มให้ผลตอบแทนกลับมาใน 3 ปีข้างหน้า” นายพิชัย กล่าว

นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) คาดว่า กำไรสุทธิในปีนี้จะสูงกว่าเป้าหมาย หลังจากครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท ถือว่าทำได้ 2 ใน 3 ของเป้าหมายแล้ว โดยคาดว่าปริมาณการขายจะสูงกว่าเป้าหมาย 3% จากที่ตั้งไว้ 2.54 แสนบาร์เรล/วัน ครึ่งปีแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 2.6 แสนบาร์เรล/วัน

บริษัทมีแผนที่จะลดสัดส่วนการลงทุนแหล่งในประเทศพม่า จาก 100% แต่ยังคงสัดส่วนการถือหุ้นไว้ไม่ต่ำกว่า 50% เบื้องต้นจะมีการขายหุ้นตามข้อตกลงให้กับรัฐบาลพม่า 1520% และอยู่ระหว่างการศึกษาหาผู้ร่วมทุนที่มีศักยภาพ

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังให้ความสำคัญกับการควบรวมกิจการกับแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่อาเซียน ตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย และแอฟริกา ซึ่งขณะนี้บริษัทมีเงินสำรองถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐ
ด้านบริษัท ปตท.เคมิคอล เปิดผลงานไตรมาส 2 ปีนี้กำไรสุทธิ 2,318 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 1.54 บาท เพิ่มขึ้น 8.31% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่น้อยกว่าไตรมาสแรกถึง 26.90% ทำให้ครึ่งแรกปีนี้กำไรสุทธิ 5,489 ล้านบาท หรือเท่ากับ 3.65 บาท เพิ่มขึ้น 214% จากระยะเดียวกันปีก่อน

ด้านบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) ขาดทุนสุทธิ 515 ล้านบาท ทำให้ครึ่งแรกปีนี้กำไรสุทธิเพียง 1,840.64 ล้านบาท หรือ 0.62 บาทต่อหุ้น นับว่าดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ และคาดว่าไตรมาส 3 จะดีขึ้นจากกำไรจากสต๊อก

ข่าวล่าสุด

SME D Bank จัด 'Culture Day' ขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร "ประสานพลัง-พัฒนาเรียนรู้" สู่การเติบโต