posttoday

ไทยพาณิชย์ออกทริกเกอร์ซื้อหุ้นเล็กในสหรัฐ

14 ตุลาคม 2557

บลจ.ไทยพาณิชย์ ออกกองทริกเกอร์หุ้นสมอลแคปสหรัฐฯ ตั้งเป้า 10% ใน 10 เดือน

บลจ.ไทยพาณิชย์ ออกกองทริกเกอร์หุ้นสมอลแคปสหรัฐฯ  ตั้งเป้า 10% ใน 10 เดือน

นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเปิดขายกองทุนทริกเกอร์ใหม่อีก 1 กองทุน  โดยจะลงทุนในหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐอเมริกา ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ยูเอสสมอลแคป ทริกเกอร์ 5%+5%  อายุประมาณ 10 เดือน มูลค่าจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท โดยเสนอขายระหว่างวันที่ 15 - 20 ต.ค.2557 เงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท

กองทุนมีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุน ของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว คือ  U.S. Small Companies Fund ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นของ บริษัทขนาดเล็กของสหรัฐอเมริกา ในสกุลเงินเหรียญสหรัฐ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ  มีเป้าหมายยกเลิกโครงการที่ 10% ภายใน 10 เดือน โดยกำหนดทริกเกอร์ 2 ครั้ง ๆ ละไม่ต่ำกว่า 5% เพื่อให้ผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนระหว่างทางเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเข้าเงื่อนไข

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่กองทุนไม่ทริกเกอร์ตามกำหนด กองทุนจะเปิดโอกาสให้ผู้ถือหน่วยสามารถขายคืนหน่วยได้หรือเลือกถือต่อ เพื่อขายคืนหน่วยลงทุน อัตโนมัติเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนถึงเกณฑ์ที่กำหนด

นายสมิทธ์ กล่าวว่า สาเหตุที่เลือกลงทุนหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯในช่วงนี้ เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯกำลังเข้าสู่ช่วงเติบโตโดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้คาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจประมาณ 3 – 3.2% ในปี 2015 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยประมาณการณ์ระยะยาวที่ 2.1 – 2.3% ในขณะที่อัตราการว่างงานปรับตัวลดลงอยู่ที่ ระดับ 5.4 – 5.7% และอัตราเงินเฟ้อคงตัวอยู่ในระดับต่ำซึ่งจะเป็นผลดีต่อการลงทุนในตลาดตราสารทุน โดยมองว่าหุ้นขนาดเล็กในช่วงนี้น่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า เพราะราคาหุ้นขนาดใหญ่ได้สะท้อนคาดการณ์อัตรากำไรที่ดีและปรับตัวขึ้นไปก่อนหน้าแล้ว

“นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์จากสถาบันการเงินต่างประเทศว่า หุ้นขนาดเล็กในดัชนี Russell 2000 มีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงกว่าหุ้นในดัชนี S&P 500 ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งดัชนี Russell 2000 ประกอบด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็น Cyclical Sectors มากกว่า 60% ทำให้มี Leverage สูงในช่วงตลาด ขาขึ้น ขณะเดียวกันดัชนี Russell 2000 ยังมีความสัมพันธ์สูงกับกับดัชนี DJIA และดัชนี S&P500 ซึ่งหมายถึงว่าหากเงินทุนยังไหลเข้าตราสารทุนและตลาดหุ้นสหรัฐฯแล้ว โอกาสที่ราคาหุ้นขนาดเล็กจะปรับตัวขึ้นสูงจึงมีความเป็นไปได้”  นายสมิทธ์กล่าว