posttoday

maiกำไรลดวูบ

09 มีนาคม 2557

บจ. mai กำไรวูบ 12% ค่าใช้จ่ายพุ่ง ดันยอดขายโตไม่ถึง 3% เผย 5 บจ.กำไรเพิ่ม 3 ปีติดต่อกัน

บจ. mai กำไรวูบ 12% ค่าใช้จ่ายพุ่ง ดันยอดขายโตไม่ถึง 3% เผย 5 บจ.กำไรเพิ่ม 3 ปีติดต่อกัน

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน mai จำนวน 94 บริษัท จากทั้งหมด 95 บริษัท นำส่งงบการเงินประจำปี 2556 พบว่า 75 บจ. หรือ 80% มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน โดยมียอดขายรวมอยู่ที่ 108,423.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.91% จากปีก่อนหน้า และสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ที่ 20.87%

ทั้งนี้ 94 บริษัทมีกำไรสุทธิรวม 4,777.62 ล้านบาท ลดลง 12.45% เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 1,445 ล้านบาท หรือ 9.66% จากปีก่อนหน้า ทำให้อัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 5.18% เหลือ 4.41% โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเริ่มส่งสัญญาณมาตั้งแต่ไตรมาส 2/2556 เนื่องจากหลายบริษัทอยู่ระหว่างการขยายธุรกิจและมีการลงทุนเพิ่ม

“บริษัทที่อยู่ในภาคบริการเป็นกลุ่มธุรกิจที่ยังสามารถรักษาการเติบโตของกำไรสุทธิในปีนี้ไว้ได้ ในขณะที่ภาคการเงิน ภาคการผลิต และภาคอสังหาริมทรัพย์ ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางด้านต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ส่งผลให้กำไรสุทธิในปี 2556 ลดลง หากพิจารณาแยกตามรายกลุ่มอุตสาหกรรม (จะเริ่มใช้ในปี 2558) พบว่าในปี 2556 มี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความโดดเด่น โดยมีการเติบโตของกำไรสุทธิสูงที่สุด แม้ในภาวะที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร (RESOURC) กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (AGRO) และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CONSUMP) ตามลำดับ” นายประพันธ์ กล่าว

จากการสำรวจผลการดำเนินงานของ บจ.ใน mai พบ 5 บริษัทที่มีการเติบโตของกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ได้แก่ บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ (APCO) บริษัท เออาร์ไอพี (ARIP) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น (ILINK) บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ (JUBILE) และบริษัทไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ (L&E)

ขณะที่ปัจจุบันมี บจ.ในตลาดหลัก ทรัพย์ mai จำนวน 95 บริษัท ดัชนี mai ปิดล่าสุด 7 มี.ค. ที่ 391.09 จุด เพิ่มขึ้น 34.29 จุด จากสิ้นปี 2556 หรือ 9.61% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมอยู่ที่ 174,014.27 ล้านบาท มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 1,435.14 ล้านบาท

สำหรับดัชนี SET วันที่ 7 มี.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ปิด 1,355.08 จุด เพิ่มขึ้น 2.87 จุด มูลค่าซื้อขาย 27,782.91 ล้านบาท ต่างชาติขายเล็กน้อย 366 ล้านบาท พอร์ตเทรดโบรกเกอร์ขาย 685 ล้านบาท สถาบัน/กองทุนซื้อ 1,290 ล้านบาท

ด้านปัจจัยที่นักลงทุนคาดการณ์ คือ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 12 มี.ค.นี้ จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25-0.5%

นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการสายงานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลง แต่คิดว่าแบงก์ชาติไม่น่าใช้การลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อหรือการบริโภคที่เกิดจากสถานการณ์ทางการเมืองมากกว่าเกิดจากปัญหาเศรษฐกิจ แต่หากมีข่าวดีลดดอกเบี้ยและการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะทำให้หุ้นไทยปรับขึ้นเพียงระยะสั้นไปที่แนวต้าน 1,370 จุด และระยะนี้คงไม่ปรับลงมากเช่นกัน เพราะมีนักลงทุนมาเก็บปันผล และปลายเดือน เม.ย. ก็รอเก็งกำไรประกาศผลประกอบการไตรมาสแรก

นายวิกิจ กล่าวด้วยว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยมากที่สุดในกลุ่ม TIP คือ 2.94 หมื่นล้านบาท ขายหุ้นอินโดนีเซีย 1.53 หมื่นล้านบาท และฟิลิปปินส์ 9,920 ล้านบาท และแรงซื้อกลับของนักลงทุนต่างชาติเข้าไทยน้อยกว่าอินโดนีเซีย เนื่องจากไทยยังชุมนุมทางการเมืองเป็นตัวกดดันตลาด

สำหรับต่างชาติที่กลับมาซื้อหุ้นไทยในช่วงนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการกลับมาซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานคืน เพื่อรอรับเงินปันผลที่มีการประกาศขึ้นเครื่องหมาย XD ที่ปกติจะอยู่ช่วงต้นเดือน มี.ค. และต้นเดือน เม.ย. จะเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์