แรงขายLTFไม่ฉุดดัชนีหุ้น

ผู้จัดการกองทุน ไม่ห่วงนักลงทุนเทขาย LTF มั่นใจรับมือได้ เชื่อเงินทุนไหลเข้าจะช่วยหนุนตลาดหุ้น

นายประเสริฐ ขนบธรรมชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย กล่าวว่า บลจ.กสิกรไทย ประเมินว่า ในช่วง 2-3 เดือนแรก จะมีการขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ครบกำหนด 5 ปีปฏิทิน ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท แต่มั่นใจว่าจะสามารถบริหารจัดการได้ และเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติจะเข้ามารองรับแรงขายของกองทุน LTF ไว้ได้

“เงินที่นักลงทุนซื้อเข้ามาเมื่อช่วงปลายปี 2555 จะทยอยออกไปลงทุน ทำให้ในพอร์ตยังมีเงินเหลือประมาณ 10% เพราะฉะนั้นหากมีนักลงทุนขายออกมา อาจจะไม่ต้องขายหุ้นในพอร์ตก็ได้” นายประเสริฐ กล่าว

นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล กล่าวว่า มีโอกาสที่นักลงทุนจะขายกองทุน LTF ออกมา แต่โอกาสที่เงินทุนจากต่างประเทศจะเข้ามาลงทุนต่อก็ยังมี จึงมองว่าแรงขาย LTF ไม่น่าจะเป็นตัวชี้นำตลาดได้เมื่อเทียบกับเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ช่อง 3 คงต้องอธิบายว่า เนื้อหาของละครส่วนไหนที่ขัดมาตรา 37 และขัดกับข้อความใดในกฎหมาย

นอกจากนี้ ช่วงปลายปีที่ผ่านมาผู้จัดการกองทุนอาจยังไม่ซื้อหุ้นเต็มพอร์ต โดยยังถือเงินสดไว้ในมือ เนื่องจากหุ้นเป้าหมายที่จะลงทุนราคาอาจขึ้นมามากแล้ว จึงอาจรอให้ราคาย่อตัวลงมาก่อน หรือในจังหวะที่หุ้นลงแรงๆ ก็เป็นโอกาสซื้อ ซึ่งการปรับกลยุทธ์ของแต่ละ บลจ.อาจไม่เหมือนกัน

ผู้จัดการกองทุนรายหนึ่ง กล่าวว่า สาเหตุที่นักลงทุนในตลาดหุ้นกังวลว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปีจะมีการเทขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดออกมา เนื่องจากต้นทุนของกองทุน LTF ในปี 2552 ดัชนีหุ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 680 จุด ขณะที่ในปัจจุบันดัชนีขึ้นไปถึง 1,400 จุด ทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นเท่าตัว

“อย่างไรก็ตาม ในปีนี้นักลงทุนอาจจะไม่เทขายออกมาตั้งแต่ช่วงต้นปี หากดัชนีหุ้นยังคงปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจากสภาพคล่องทั่วโลกมีค่อนข้างมาก ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียและไทยยังน่าสนใจ หากเงินลงทุนไหลเข้ามาก็คาดว่าจะช่วยพยุงบรรยากาศการลงทุนได้ และอีกมุมหนึ่งอาจเป็นจังหวะในการซื้อหุ้นรอบใหม่ หากดัชนีปรับตัวลงมา รวมถึงคนที่อยากซื้อกองทุน LTF ก็น่าจะทยอยซื้อได้ ไม่ต้องรอปลายปีที่ส่วนใหญ่ต้นทุนจะแพง” ผู้จัดการกองทุน กล่าว

ข้อมูลจากบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ (ประเทศไทย) ระบุว่า เม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนกองทุน LTF ในปี 2542 ที่จะครบกำหนด 5 ปีปฏิทินในปีนี้ มีประมาณ 1.67 หมื่นล้านบาท