กรุงศรีขายกองทุน6M50ผลตอบแทน2.85%
บลจ.กรุงศรี เสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M50 (KFFIX6M50) อายุประมาณ 6 เดือน ระหว่างวันที่ 2–7 ม.ค. 56
บลจ.กรุงศรี เสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M50 (KFFIX6M50) อายุประมาณ 6 เดือน ระหว่างวันที่ 2–7 ม.ค. 56
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี เปิดเผยว่า บริษัทเปิดเสนอขายกองทุนกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M50 (KFFIX6M50) อายุประมาณ 6 เดือน มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ตราสารหนี้ระยะสั้นออกโดย ธ.ธนชาต สัดส่วนการลงทุน 19% ตั๋วแลกเงินออกโดย ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย สัดส่วนการลงทุน 19% ตั๋วแลกเงินออกโดย บ. อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส สัดส่วนการลงทุน 19% เงินฝากธนาคาร Commercial Bank of Qatar (กาตาร์) สัดส่วนการลงทุน 10% เงินฝากธนาคาร Standard Chartered Bank (สิงคโปร์) สัดส่วนการลงทุน 10% เงินฝากธนาคาร Union National Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์) สัดส่วนการลงทุน 18% และเงินธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์) สัดส่วนการลงทุน 5%
โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 2.85% ต่อปี และหลังครบกำหนดอายุโครงการบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน (KFCASH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนต่อไป
“กองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M50(KFFIX6M50) เป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และสามารถลงทุนได้เป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือน”
สำหรับภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย บริษัทยังคงมุมมองต่อตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วง 3 เดือน ถึง 1 ปีข้างหน้าที่ระดับ ปานกลาง(Neutral) และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงอยู่ในระดับ 2.75% โดยมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะปรับขึ้นในระยะถัดจากนี้ และยังมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงหากมีความจำเป็น เพื่อชดเชยผลกระทบจากวิกฤติการเงินในยุโรปและสหรัฐ
ทั้งนี้ บริษัทยังได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปี 2555 และปี 2556 ลงสู่ระดับ 5.55% และ 6.73% ตามลำดับ จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 5.68% และ 7.35% หากยังคงสูงกว่าที่ตลาดโดยรวมคาดไว้ โดยแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยจะมาจากการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ