posttoday

กรุงศรีขายกองทุน6M50ผลตอบแทน2.85%

02 มกราคม 2556

บลจ.กรุงศรี เสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M50 (KFFIX6M50) อายุประมาณ 6 เดือน ระหว่างวันที่ 2–7 ม.ค. 56

บลจ.กรุงศรี เสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M50 (KFFIX6M50) อายุประมาณ 6 เดือน  ระหว่างวันที่ 2–7 ม.ค. 56

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี เปิดเผยว่า บริษัทเปิดเสนอขายกองทุนกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M50 (KFFIX6M50) อายุประมาณ 6 เดือน มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ  เช่น ตราสารหนี้ระยะสั้นออกโดย ธ.ธนชาต  สัดส่วนการลงทุน 19%  ตั๋วแลกเงินออกโดย ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย สัดส่วนการลงทุน 19%  ตั๋วแลกเงินออกโดย บ. อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส สัดส่วนการลงทุน 19%  เงินฝากธนาคาร Commercial Bank of Qatar (กาตาร์) สัดส่วนการลงทุน 10%  เงินฝากธนาคาร Standard Chartered Bank (สิงคโปร์) สัดส่วนการลงทุน 10%  เงินฝากธนาคาร Union National Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์) สัดส่วนการลงทุน 18%  และเงินธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์) สัดส่วนการลงทุน 5%

โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 2.85% ต่อปี  และหลังครบกำหนดอายุโครงการบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน (KFCASH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนต่อไป

“กองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M50(KFFIX6M50) เป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และสามารถลงทุนได้เป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือน”

สำหรับภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย บริษัทยังคงมุมมองต่อตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วง 3 เดือน ถึง 1 ปีข้างหน้าที่ระดับ ปานกลาง(Neutral) และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงอยู่ในระดับ 2.75% โดยมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะปรับขึ้นในระยะถัดจากนี้ และยังมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงหากมีความจำเป็น เพื่อชดเชยผลกระทบจากวิกฤติการเงินในยุโรปและสหรัฐ

ทั้งนี้ บริษัทยังได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปี 2555 และปี 2556 ลงสู่ระดับ 5.55% และ 6.73% ตามลำดับ จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 5.68% และ 7.35% หากยังคงสูงกว่าที่ตลาดโดยรวมคาดไว้ โดยแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยจะมาจากการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ