posttoday

น้ำมัน-ถ่านหินดีดกลับ

02 กรกฎาคม 2555

ทรีนีตี้คาดเดือน ก.ค. หุ้นมีลุ้นขึ้น 5% พลังงานเด่น ราคาน้ำมัน-ถ่านหินขึ้นดอกเบี้ยลงทั้งโลก ยูโรมีทางแก้ไข บจ.กำไรยังโต

ทรีนีตี้คาดเดือน ก.ค. หุ้นมีลุ้นขึ้น 5% พลังงานเด่น ราคาน้ำมัน-ถ่านหินขึ้นดอกเบี้ยลงทั้งโลก ยูโรมีทางแก้ไข บจ.กำไรยังโต

น้ำมัน-ถ่านหินดีดกลับ

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (ทรีนีตี้) เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะสดใสและมองว่าในเดือน ก.ค. ดัชนีน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 5% เพราะนักลงทุนต่างชาติยังให้น้ำหนักหุ้นไทยมากกว่าตลาด เพราะการเติบโตสูงกว่าภูมิภาค และเริ่มเห็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้ยุโรปมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีปัจจัยบวกหลายปัจจัย เช่น ธนาคารกลางประเทศต่างๆ จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อาทิ ธนาคารกลางยุโรป ที่จะมีการประชุมวันที่ 5 ก.ค.นี้ จะลดดอกเบี้ยลง0.25% เป็น 0.75% และจะลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงเหลือ 0% ขณะที่จีนเองก็จะลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังอย่างน้อย 2 ครั้ง รวมถึงไทยก็จะลดลงดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.25% คาดว่าจะเห็นในไตรมาส 4

ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดว่าจะมีการขยายระยะเวลาในการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำจากกำหนดเดิมปี 2547 ออกไปถึงปี 2548 หรือปี 2549 รวมถึง|จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ (QE3) ประมาณเดือน ต.ค.นี้

“จะเห็นว่าตั้งแต่เกิดปัญหาซับไพรม์ถึงปัจจุบัน ประเทศต่างๆ ได้ออกมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจและยังมีเม็ดเงินในระบบกว่า 9,672 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเม็ดเงินส่วนใหญ่ยังอยู่ในตลาดพันธบัตร และเมื่อทุกอย่างชัดเจนขึ้น ก็เชื่อว่าจะเห็นการไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ รวมถึงมีการขายล่วงหน้าในยูโรและเอสแอนด์พีจำนวนมหาศาลก็จะต้องซื้อคืนอย่างรวดเร็ว ทำให้เงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลง ส่งผลดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้น” นายวิศิษฐ์ กล่าว

สำหรับหุ้นที่จะขึ้นในรอบนี้ จะมาจากหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานหลังจากราคาน้ำมันลงไปแถว 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลและราคาถ่านหินลงไป 83 เหรียญสหรัฐต่อตัน แล้วทรงตัวเป็นเพราะราคาต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ถ้าหากลงต่อจะทำให้เกิดการหยุดผลิตรวมถึงการคว่ำบาตรอิหร่านในเดือน ก.ค.

การประท้วงของแรงงานที่นอร์เวย์และการเกิดพายุเฮอริเคนตามฤดูกาล จึงเชื่อว่าจะเป็นตัวผลักดันให้น้ำมันเพิ่มขึ้นในเดือน ก.ค.นี้ แต่นักลงทุนก็จะต้องระวังเทขายหุ้นที่ราคาไม่ปรับตัวลงตามตลาดก่อนหน้านี้ เช่น บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)

“ยังเชื่อว่าหุ้นไทยยังขึ้นได้และสิ้นปีนี้จะมีโอกาสเห็น 1,300 จุด เพราะพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนยังแข็งแกร่ง คาดว่ากำไรจะเติบโตเกิน 20.9% และอาจจะมีการปรับประมาณขึ้นอีกหลังธนาคารพาณิชย์ประกาศกำไรไตรมาส 2 ออกมาดี”

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน คาดไตรมาส 2 เติบโต 7.5% เทียบกับไตรมาสแรกขยายตัว 81%