posttoday

ปีใหม่นี้ ซื้อของขวัญดีๆ ให้ตัวเอง

10 มกราคม 2554

ถ้าจะให้ดีของขวัญที่ว่านี้คงจะต้องของขวัญแบบพิเศษสักหน่อย เพราะมันจะเป็น “ของขวัญเพิ่มค่า” ที่ไม่ว่าปีใหม่ปีไหนๆ ย้อนกลับมาดูก็จะไม่เสียดายที่เสียเงินซื้อ

ถ้าจะให้ดีของขวัญที่ว่านี้คงจะต้องของขวัญแบบพิเศษสักหน่อย เพราะมันจะเป็น “ของขวัญเพิ่มค่า” ที่ไม่ว่าปีใหม่ปีไหนๆ ย้อนกลับมาดูก็จะไม่เสียดายที่เสียเงินซื้อ

โดย...สวลี ตันกุลรัตน์

คงยังไม่สายเกินไปที่จะ “สวัสดีปีใหม่” และเป็นธรรมดาที่พอเข้าสู่ปีใหม่หลายๆ คนก็อยากจะมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต หรือ อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ถือฤกษ์ดีวันปีใหม่นี่ล่ะเป็นจุดเริ่มต้น

ขณะที่อีกหลายๆ กำลังสาละวนอยู่กับการมอบ “ของขวัญปีใหม่” ให้กับคนโน้น คนนี้ รอบๆ ตัว แต่อย่าคิดถึงคนอื่นๆ จนลืม “ซื้อของขวัญให้ตัวเอง” และถ้าจะให้ดีของขวัญที่ว่านี้คงจะต้องของขวัญแบบพิเศษสักหน่อย เพราะมันจะเป็น “ของขวัญเพิ่มค่า” ที่ไม่ว่าปีใหม่ปีไหนๆ ย้อนกลับมาดูก็จะไม่เสียดายที่เสียเงินซื้อ

ซื้อกิจการ

นอนฝันหวานมานานว่า อยากเป็นเจ้าของกิจการอะไรสักอย่าง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้เริ่มต้นสักที เพราะมัวแต่กลัวนั่นกังวลนี่อยู่ตลอดเวลา และปีใหม่ ปีนี้น่าจะได้ฤกษ์เริ่มต้นเสียที แต่การเริ่มต้นยังไม่ยากเท่ากับการทำให้มันอยู่รอดและสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นคงจะดีกว่าถ้าจะไป “ลงขัน” กับธุรกิจ หรือ กิจการที่เขาประสบความสำเร็จอยู่แล้ว

เพราะไม่ว่าจะอยากทำอะไร อยากเป็นเจ้าของธุรกิจอะไร ก็มีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ให้เลือกร่วมทุนเยอะไปหมด

อยากเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน ธุรกิจพลังงาน ก็วิ่งตรงเข้าไปที่ ปตท. หรือ จะเป็น เอสโซ่, ไออาร์พีซี รวมทั้ง บ้านปู

อยากเป็นเจ้าของสื่อ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ จะไม่ให้คิดถึง โพสต์ พับลิชชิง ได้อย่างไร หรือ อาจจะเป็น บีอีซี เวิลด์, อสมท, ซีเอ็ดยูเคชั่น และ อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง

อยากเป็นเจ้าของโรงหนัง ค่ายเพลง ธุรกิจเพื่อความบันเทิง ลองมองๆ ไปที่ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่, อาร์เอส, เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ หรือจะเป็น เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป หรือ เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์

อยากเป็นเจ้าของร้านค้าปลีก ที่มีสาขาทั่วบ้านทั่วเมืองก็ต้อง ซีพี ออลล์, โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์, สยามแม็คโคร หรือ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ รวมทั้ง ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน

อยากเป็นเจ้าของธนาคาร ก็เลือกจิ้มได้เลยว่า อยากจะเป็นเจ้าสัวอย่าง ธนาคารกรุงเทพ หรือ จะเป็นฮีโร่ตัวเขียวอย่างธนาคารกสิกรไทย หรือ อยากจะเป็นธนาคารแรกของประเทศไทยอย่างธนาคารไทยพาณิชย์

อยากเป็นเจ้าของกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์ จะเลือก ปูนซิเมนต์ไทย, อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์, ช.การช่าง, แสนสิริ หรือ แลนด์แอนด์เฮ้าส์

อยากเป็นเจ้าของธุรกิจอาหาร ทำการเกษตร คงต้องมองไปที่ เจริญโภคภัณฑ์อาหาร, มาลีสามพราน, ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, โออิชิ กรุ๊ป หรือ จีเอฟพีที

อยากเป็นเจ้าของกิจการหลายๆ อย่างก็ทำตัวเป็น “เจ้าบุญทุ่ม” กว้านซื้อให้หมด แต่อย่าลืมวิเคราะห์กิจการ ดูแนวโน้มกันเสียก่อน และก่อนจะไปซื้อหุ้นก็ต้องไปเปิดบัญชีกันก่อน

สำหรับคนที่เริ่มต้นใหม่ๆ ต้องลองไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นประเภทประเภทเงินสด (Cash Account หรือ Post-Paid) และ บัญชีประเภทเงินสดแบบเงินฝาก (Cash Balance Account หรือ Pre-Paid)

สำหรับบัญชีประเภท Cash เราเพียงแค่วางหลักประกันเอาไว้ 15% ของวงเงินที่ต้องการซื้อขาย แต่หลักจากส่งคำสั่งซื้อแล้ว เราต้องชำระเงินภายใน 3 วัน แต่วงเงินที่จะซื้อขายหุ้นได้ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หรือ โบรกเกอร์

หรือจะเปิดบัญชี Cash Balance ซึ่งเป็นบัญชีแบบที่เราต้องนำเงินไปฝากไว้ที่โบรกเกอร์ และสามารถซื้อหุ้นได้ตามจำนวนเงินที่เราไปฝากเอาไว้เท่านั้น โดยที่โบรกเกอร์หลายแห่งไม่ได้กำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำ

แต่ถ้าในประเทศไม่มีกิจการที่อยากเป็นเจ้าของ เพราะฝันใหญ่อยากเป็นเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ก็ลองมองออกไปนอกประเทศ ไปลงทุนกับกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนต่างประเทศ (FIF) รับรองว่าไม่ผิดหวัง เพราะมีให้เลือกอีกเยอะ

“นักคิดในแนวขวาง” คนหนึ่งเคยเปรยๆ ว่า นักลงทุนเป็นคนเอาเปรียบคนอื่น เพราะได้กำไรโดยไม่ต้องลงแรง ซึ่งหากมองในมุมนี้ก็อาจจะมีทั้งจริงและไม่จริงอยู่ด้วยกัน เพราะแม้ว่า นักลงทุนไม่ต้องใช้แรงงานตัวเอง แต่เงินของเราต่างหากที่ต้องทำงานหนักเพื่อเรา 

เพราะฉะนั้นของขวัญชิ้นนี้ น่าจะเป็นอีกหนึ่งของขวัญในดวงใจ เพราะมีโอกาสเพิ่มมูลค่าได้ในอนาคต

ซื้อเครื่องประดับ

สำหรับ สาวๆ และหนุ่มๆ (บางคน) การซื้อเครื่องประดับเป็นของขวัญให้ตัวเองเป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้ว เพราะบรรดาทรัพย์สมบัติส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เป็นเครื่องประดับแสดง “ความเป็นตัวตน” และหลายคนนับให้มันเป็น “ของมีค่า” แต่ทั้งหมดอาจจะไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวมันเอง ทั้งยังมีแต่จะลดลงเรื่อยๆ

แต่มีเครื่องประดับหลายอย่างที่นอกจากจะเป็นของมีค่าใจดวงใจของใครหลายคนแล้ว มันยังเป็นของเพิ่มค่าเมื่อเวลาผ่านไปอีกด้วย เครื่องประดับที่ว่า ได้แก่ ทองคำ พลอย และเพชร

ลองไปคิดๆ ดูว่า ถ้าเรารวบรวมเงินที่ใช้จ่ายไปกับ “เครื่องประดับลดค่า” ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา อาจจะสามารถซื้อ “เครื่องประดับเพิ่มค่า” ได้มากน้อยแค่ไหน และถ้าเราซื้อเครื่องประดับเพิ่มค่าให้ตัวเองเมื่อปีใหม่ปีที่แล้ว ปีใหม่ปีนี้เครื่องประดับเหล่านี้จะมีราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าไร เพราะฉะนั้นอย่าลืมเจียดเงินมาซื้อเครื่องประดับแบบนี้ให้กับตัวเองดูบ้าง

ทองคำ

แต่ถ้าคิดจะซื้อใช้เป็นเครื่องประดับด้วย เก็บออมไปด้วย ก็ต้องเป็น “ทองรูปพรรณ” ไม่ต้องไปสนใจว่า มันเล็กเท่าหนวดกุ้ง หรือ ใหญ่เท่ากับโซ่ล่ามคอ

แม้ว่า ทองรูปพรรณ จะถูกตราหน้าว่าไม่ใช่รูปแบบที่เหมาะกับการลงทุนนัก เพราะมีต้นทุนสูง คือ ค่ากำเหน็จ ทำให้ราคาขายทองคำรูปพรรณสูงกว่าราคาขายทองคำแท่ง ขณะที่ เมื่อนำไปขาย ทองคำรูปพรรณยังถูกกดราคามากกว่าทองคำแท่งอีก

นอกจากนี้ ยังมี ค่าสึกหรอ จากการใช้งาน เพราะทองคำที่ผ่านการใช้งานจะมีน้ำหนักทองคำลดลงไปบ้าง เมื่อนำไปขายให้กับร้านทอง ทางร้านจะนำไปช่างน้ำหนักแล้วตีราคาตามน้ำหนักทองที่เหลืออยู่ ต้นทุนอาจจะไม่หายไปไหน แต่กำไรที่ควรจะได้อาจจะหดไปสักหน่อย

เพราะฉะนั้น ถ้าคิดจะลงทุนทองคำแท่งน่าจะเป็นการลงทุนในทองคำที่น่าจะได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะนอกจากจะซื้อง่ายขายสะดวกแล้ว ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย หรือ ต้นทุนการลงทุน ต่ำกว่าทองคำรูปพรรณ

แต่ถ้าจะซื้อทองตอนนี้อาจจะต้องทำใจหน่อย เรื่องมูลค่าเพิ่มของมันอาจจะไม่หวือหวาโดนใจเหมือนในปี 2553 แต่ถ้าใส่สวยๆ ทำลืมๆ ไป เครื่องประดับชิ้นนี้มูลค่าไม่อายใครแน่นอน

พลอย

ถ้าไม่ชอบสีเหลืองๆ ของทองคำ แต่ชอบเครื่องประดับที่มีสีสันก็ลองมองไปที่เครื่องประดับที่มี “พลอย” เป็นส่วนประกอบ เพราะพลอยดีก็มูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน แต่ต้องเป็นพลยอที่เข้าลักษณะต่อไปนี้ คือ

ต้องปิดเหมืองไปแล้ว หรือ อย่างน้อยก็ใกล้ๆ จะปิด ทำให้ไม่มีของใหม่ออกมาในตลาด ขณะที่ความต้องการของนักลงทุน นักสะสม และอุตสาหกรรมเครื่องประดับ มีแต่จะเพิ่มขึ้น 

ต้องเป็น ‘พลอยสด’ แม้ว่า พลอยเผา จะสวยกว่า ขายง่ายกว่า สีสันสวยกว่า พลอยสด เพราะการเผาจะทำให้พลอยสุกสว่างมากขึ้น แต่ถ้าคิดจะได้มูลค่าที่มากขึ้น ควรจะเป็น พลอยสด หรือ พลอยที่ไม่ผ่านการเผา เท่านั้น แต่พลอยที่ทำกำไรได้มากที่สุด กลับเป็น พลอยดิบ หรือ พลอยที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน

ต้องเข้าตัวเรือน เป็นการช่วยรักษาสภาพของพลอยเอาไว้ด้วย เพราะพลอยสามารถแตกหักได้ หากเก็บรักษาไม่ดี

ต้องขนาดใหญ่ จะถูกหรือแพงไม่รู้ แต่ถ้าเป็นนักลงทุนพลอยต้อง “ใหญ่” ไว้ก่อน โดยขนาดที่เหมาะกับการลงทุนไม่ควรจะต่ำกว่า 15 กะรัต

แถมอีกนิด ถ้าจะให้ดีต้องพลอยโบราณ ของเก่าเก็บจากกรุเจ้าคุณปู่ นี่ล่ะของดี เพราะพลอยสมัยก่อนยังไม่มีการปรุงแต่ง ไม่ผ่านการเผา

เพชร

ไม่ต้องรอให้ใครมาซื้อให้ สาวๆ รวมทั้งหนุ่มๆ รุ่นใหม่ ซื้อเพชรเป็นของขวัญให้ตัวเองก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นแหวนเพชร สร้อยเพชร ต่างหูเพชร กำไลเพชร จี้เพชร หรือจะเป็นรูปแบบไหนก็ได้ ขอให้ได้ใช้ประโยชน์ในฐานะที่เป็นเครื่องประดับอย่างเต็มที่ ส่วนที่เหลือก็แค่ปล่อยเวลาให้เป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มพูนมูลค่าให้เพิ่มขึ้นเท่านั้น

สำหรับเพชรที่น่าลงทุน ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ แต่โดยทั่วๆ ไปแล้วควรจะเป็น...

รูปทรง กลมเหลียมเกสร (Round Brillint Cut) เพราะเป็นรูปทรงที่ได้รับความนิยมมากที่สุด จึงทำให้มีสภาพคล่องสูง ซื้อง่าย ขายคล่อง ขณะที่รูปทรงแปลกอาจจะได้รับความนิยมในบางช่วงบางเวลา ทำให้ราคาหวือหวา เช่น ในช่วงหนึ่งนิยมใช้เพชรทรงสี่เหลี่ยม (Pricess Cut) สำหรับแหวนหมั้น

ฝีมือการเจียระไน ต้องดีเยี่ยม เพราะการเจียระไนที่ดีจะทำให้เพชรเม็ดนั้นส่องประกายเจิดจรัส และไม่มีการเรืองแสง

น้ำหนักตั้งแต่ 0.75 กะรัต หรือ 1 กะรัตขึ้นไป แต่ยิ่งขนาดใหญ่ราคาก็ยิ่งสูงตามไปด้วย แต่เพชรเป็นของแปลก ที่ยิ่งของแพงยิ่งขายง่าย

ความบริสุทธิ์ระดับ FL/IF, VVS1, VVS2, VS1 และ VS2

ระดับสี D, E, F และ G ยังพอได้อยู่

และที่ขาดไม่ได้ คือ ใบรับรอง (Certificate) จากสถาบันที่ได้รับความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะเป็นตัวบอกรูปพรรณ สัณฐาน ของเพชรแต่ละเม็ด และช่วยยืนยันว่า ไม่ใช่ของปลอมแน่นอน

ซื้อความบันเทิง

จะมีอะไรน่าซื้อเป็นของขวัญให้ตัวเองมากไปกว่าการซื้อ “ความบันเทิง” เพราะในเทศกาลแห่งความสุขแบบนี้ ใครต่อใครต่างวิ่งเข้าความบันเทิง และ หนังสือ คือ ความบันเทิงเริงใจอย่างยิ่ง แม้ว่า บางคนจะเป็น “ภูมิแพ้” หนังสือเล่มโตๆ แต่ถ้ามองเห็นความบันเทิงในนั้น รับรองเลยว่า หนังสือบางเล่มสามารถเปลี่ยนชีวิตของเราได้

ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องการเงินการลงทุน เพราะเป็นหนังสือปรัชญา แนวคิดในการดำเนินชีวิต หนังสือธรรมะ เรื่องสั้น นวนิยาย หรือ แม้กระทั่งหนังสือการ์ตูน ก็สามารถชี้ทางสว่างให้เราได้ทั้งนั้น ถ้าเราเปิดใจ

แต่ถ้าไปเดินร้านหนังสือแล้วตาลายไม่รู้จะหยิบเล่มไหนมาเป็นของขวัญ ก็ลองหยิบบางเล่มจากรายการแนะนำมาเปิดๆ ดู เพราะทุกเล่มกลายเป็น “คัมภีร์ชีวิต” สำหรับใครหลายคนไปแล้ว (ทุกเล่มแปลเป็นภาษาไทยแล้วทั้งนั้น)

หนังสือชุด “พ่อรวยสอนลูก” โดย โรเบิร์ต คิโยซากิ

คัมภีร์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า โดย เบนจามิน เกรแฮม

คิดแล้วรวย โดย นโปเลียน ฮิลล์

ไขความลับสมองเงินล้าน โดย ที ฮาร์ฟ เอคเคอร์

กินกบตัวนั้นซะ โดย ไบรอัน เทรซี่

คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก โดย เดวิด ชว็อทซ์

พบกันที่จุดสูงสุด โดย ซิก ซิกล่า

จะเลือกเงินหรือชีวิต โดย โจ โดมิงเกซ และ วิคกี้ โรบิน

แถมให้สำหรับคนที่ปีใหม่นี้ไม่รู้จะไปไหน ไม่อยากเบียดเสียดยัดเยียดกับคนอื่นๆ แนะนำให้ซื้อ “หนังดีมีแง่คิดทางการเงิน” มานั่งๆ นอนๆ ดูเล่นๆ ให้ชุ่มปอด เพราะนอกจากจะได้ความบันเทิงอันเป็นวัตถุประสงค์แรกของการดูหนังแล้ว หนังบางเรื่องให้แง่คิดและมุมมองที่อาจเปลี่ยนชีวิตของเราได้เช่นกัน

เพราะภาพยนตร์หลายเรื่องได้รับการยกย่องว่า เป็น “หนังน่าดู” สำหรับการหาความรู้ทางด้านการเงินการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น Wall Street ทั้งภาคแรกและภาคที่สอง Wall Street : Money Never Sleep, Jerry Maguire ที่ในเรื่องนี้มีประโยคเด็ดที่ว่า “Show me the money!”, Boiler Room, Trading Places, Enron : The Smartest Guys in the Room, American Psycho, Glengarry Glen Ross และ Pursuit of Happyness

ที่สำคัญการซื้อของขวัญคราวนี้ยังไม่ต้องเสียดายเงิน เพราะถือเป็นของขวัญจาก “กระเป๋าซ้าย” มอบให้ “กระเป๋าขวา” ที่มีแนวโน้มว่า จะเพิ่มมูลค่ามากกว่าวันที่ควักเงินจ่ายออกไป