posttoday

สรรพสามิต เซ็นผู้ประกอบรถจักรยานยนต์ BEV รายแรก

03 พฤษภาคม 2565

สรรพสามิต เซ็นผู้ประกอบรถจักรยานยนต์ BEV รายแรก ที่เข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติเสนอ โดยผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ที่เข้าร่วมมาตรการฯ จะได้สิทธิประโยชน์จากภาษีสรรพสามิตอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ 1 และเงินอุดหนุนจำนวน 18,000 บาทต่อคัน สำหรับการนำเข้ารถจักรยานยนต์แบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) ในปี 2565 - 2566 และผลิตรถจักรยานยนต์ BEV ในปี 2565 – 2568 โดยรถจักรยานยนต์ BEV ที่เข้าร่วมมาตรการฯ ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้

1. ต้องเป็นแบตเตอรี่ประเภทลิเธียมไอออน

2. มีความจุแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 KWh ขึ้นไป หรือมีระยะทางที่วิ่งได้ตั้งแต่ 75 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WMTC (World Motorcycle Test Cycle) ตั้งแต่ Class 1 ขึ้นไป

3. ต้องใช้ยางล้อที่เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มาตรฐานเลขที่ มอก. 2720-2560 (UN Reg.75) หรือที่สูงกว่า (UN Reg.75)

4. ต้องผ่านการทดสอบความปลอดภัยของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม เลขที่ มอก. 2952-2561 (UN Reg.136) หรือที่สูงกว่า

อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวต่อว่าในวันนี้ (3 พฤษภาคม 2565) บริษัท เดโก กรีน เอนเนอร์จี จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจประกอบ ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ BEV ทั้งภายในประเทศและส่งออกได้ลงนามในข้อตกลงกับกรมสรรพสามิตตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า จึงเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ BEV รายแรกที่เข้าร่วมมาตรการฯ โดยบริษัทฯ มีความประสงค์ผลิตรถจักรยานยนต์ BEV ในประเทศและขอรับสิทธิจำนวน 8 รุ่น ได้แก่ HANNAH , SOFIA , LUCIANO, SUSU, SUPERACE, DOUBLEACE, G-FIVE, และ TAITAN ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนที่จะผลิตรถจักรยานยนต์ BEV ในปี 2565 จำนวน 32,000 คัน ปี 2566 จำนวน 38,400 คัน ปี 2567 จำนวน 46,400 คัน และปี 2568 จำนวน 56,000 คัน ตามลำดับ

อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวทิ้งท้ายว่า จากการที่รัฐบาลมีมาตรการฯ ดังกล่าว ขณะนี้มีผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้นำเข้ารถยนต์ จำนวน 4 ราย และรถจักรยานยนต์ จำนวน 1 ราย ที่เข้าร่วม ลงนามกับกรมสรรพสามิตแล้ว โดยคาดว่าจะมีผู้สนใจทยอยเข้าร่วมลงนามเพิ่มขึ้นอีกในระยะเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งจะส่งผลให้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ BEV มีราคาลดลงและสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น และช่วยส่งผลดีต่อการลดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ