posttoday

เอาไม่อยู่ค่าครองชีพแข่งกันแพง เรียงแถวกันขึ้นราคา

17 มีนาคม 2565

รัฐบาลจนปัญญาแก้ค่าครองชีพแพง ของแห่ขึ้นราคา ได้แต่ปลอบใจให้ประหยัดอดทน เพราะเจอกันทั้งโลกไม่ใช่เฉพาะคนไทย

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ รัฐบาล "บิ๊กตู่" เจอมรสุมทำให้ประชาชนอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพงมากที่สุดในรอบ 8 ปี ที่บริหารประเทศไทยมา

ภาวะค่าครองชีพแพง ของแพงทั้งแผ่นดิน ดูเหมือนเป็นภาวะที่รัฐบาลบิ๊กตู่เอาไม่อยู่จริงๆ และดูเหมือนจะไม่ทางช่วยประชาชนได้อย่างรวดเร็วและมากเพียงพอ

ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันแพง รัฐบาลก็ขอให้ประหยัดจอดรถไว้บ้านบ้าง ทำงานอยู่ที่บ้านบ้าง พูดง่ายๆ คือ ช่วยตัวเองให้มากที่สุด จะมาหวังพึ่งรัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้

ล่าสุดราคาไข่ไก่ยุคบิ๊กตู่ก็ทำลายสถิติแพงทะลุใบละ 3 บาทกว่า จากที่ก่อนหน้านี้ราคาหมูแพงทะลุขึ้นไปกว่า 200 บาท ถึงแม้วันนี้จะลดลงมาบ้างแต่ก็ไม่ได้ต่ำเท่ากับราคาเดิม ก่อนที่จะแพงขึ้น

พูดง่ายๆ ภายใต้การบริหารงานของบิ๊กตู่ ข้าวของมีแต่แพงขึ้นทั้งแผ่นดิน พอแพงขึ้นก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ลดลงมา แต่ก็ยังแพงกว่าเดิม และก็แพงกลับขึ้นไปใหม่ และก็แก้ไขเฉพาะหน้าให้ถูกลงมาหน่อย แต่ก็ยังแพงกว่าเดิม

เมื่อเป็นเช่นนี้ จะเห็นว่าการแก้ปัญหาราคาสินค้าแพงของรัฐบาลบิ๊กตู่ ยิ่งแก้เหมือนถูกลง แต่ในความเป็นจริงยิ่งแก้ยิ่งแพงขึ้น สวนทางกับรายได้ของประชาชนที่ไม่ขึ้น และยังได้น้อยลงเพราะตกงาน ถูกลดการทำงาน ทำให้รายได้ไม่พอรายจ่าย เป็นปัญหาวิกฤตค่าครองชีพของคงไทยในปีเสือนี้

เมื่อมองไปข้างหน้า ยังพบว่า ราคาสินค้าบริการที่สำคัญกับการครองชีพยังแพงขึ้นต่อเนื่อง ไม่ว่า จะเป็นราคาก๊าซหุงต้มเพิ่มอีกถังละ 15 บาท หรือกิโลกรัมละ 1 บาท ทำให้ถัง 15 กิโลกรัมเพิ่มไปอยู่ที่ 333 บาท ในวันที่ 1 เม.ย. นี้ ส่งผลให้ร้านอาหาร อาหารริมทางที่ทางตันจะขึ้นราคาลูกค้าก็หาย ขายเท่าเดิมก็กำไรหาย ต้องยอมเข้าเนื้อเพื่อรักษาลูกค้า

จี้ก้นมาติดๆ คือ ค่าไฟฟ้า ที่วันนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2565 โดยให้เรียกเก็บที่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ต่อหน่วย เป็น 4.00 บาทต่อหน่วย ทำให้คนที่ต้องทำงานที่บ้าน กักตัวอยู่บ้าน หรือ รักษาตัวติดโควิดที่บ้าน ต้องประหยัดกัน เพราะเปิดไฟเปิดแอร์ตั้งแต่เดือน พ.ค. เป็นต้นไฟค่าไฟแพงเพิ่มขึ้นจนหน้ามืด

ที่น่ากลัวที่สุด คือ ราคาน้ำมันดีเซลที่จะตรึงไว้ 30 บาท ถึงเดือน พ.ค. ทำท่าไม่ถึง ซึ่งตอนนี้รัฐบาลใช้เงินกองทุนเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายการตรึงราคาน้ำมันดีเซล หากเงินกองทุนหมด 4 หมื่นล้านบาท ก็คงตรึงราคาลิตรละที่ 30 บาทต่อไปไม่ได้ จากเดิมที่คาดว่าจะตรึงได้ถึงเดือน พ.ค. แต่ราคาน้ำมันโลกที่พุ่งมากในรอบกว่า 10 ปีอย่าง คาดว่าเงินกองทุนใช้พยุงราคาน้ำมันได้ถึงสิ้นเดือนมี.ค. นี้ ก็เก่งแล้ว หากหมดหน้าตักต้องปล่อยราคาดีเซลเกิน 30 บาท ค่าขนส่งและค้าสินค้าและบริหารต่างๆ จะแพงขึ้นตามมาอีกเป็นกองนับไม่ถ้วน

สภาพการณ์แพงทั้งแผ่นดิน ค่าครองชีพสูงทะลุเพดานขนาดนี้ แม้แต่นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ยังถึงขนาดออกปากขอร้องประชาชนว่า "ตอนนี้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" จะหวังพึ่งรัฐบาลตอบให้ชัดเจนว่าจะตรึงราคาน้ำมันได้ 30 บาทต่อลิตร ไปได้นานขนาดเพื่อจะให้ทุกคนนอนหลับฝันดีไม่ต้องเป็นกังวล เป็นเรื่องที่รัฐบาลตอบให้คำมั่นไม่ได้

เห็นการบริหารงานของรัฐบาลบิ๊กตู่ และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลบาลบิ๊กตู่ คนไทยก็ต้องยอมรับว่าวิบากกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ต้องช่วยตัวเองให้รอด จะหวังพึ่งรัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เพราะรัฐบาลก็ดูเหมือนจะเอาตัวเองไม่รอดอยู่ประคองตัวเองให้ครบเทอมไปวันๆ เช่นกัน

นายสมหมาย ภาษี อดีต รมว.คลัง เขียนข้อความผ่านเฟสบุ๊ก เรื่อง "ประเทศที่เคราะห์ซํ้ากรรมซัดมายาวนาน" โดยสรุปสาระสำคัญได้ว่า การบริหารประเทศของรัฐบาลบิ๊กตู่ที่ผ่านมา นั้น คุมโควิดไม่อยู่ ฟื้นเศรษฐกิจไม่ได้ แก้หนี้ครัวเรือนไม่สำเร็จ นักลงทุนเมินไทย การเก็บรายได้รัฐบาลแย่ต่ำเป้าหมาย รัฐบาลกู้เงินทะลุเพดานจนต้องขยายเพิ่ม มีการคอร์รัปชั่นดกดื่น การท่องเที่ยวไทยยังทรุด การบริหารราคาน้ำมันแพงเหลว คุมสินค้าค่าครองชีพแพง และการเมืองยังป่วนสร้างความไม่มั่นใจกับประชาชนและนักลงทุน

นอกจากนี้ สดๆ ร้อน การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด กดดันให้ดอกเบี้ยในประเทศไทยต้องปรับเพิ่มขึ้นตาม จะซ้ำเติมค่าครองชีพของคนไทยเพิ่มขึ้นในอีกในไม่ช้า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เปราะบาง

ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยภายการบริหารของรัฐบาลบิ๊กตู่ เต็มเป็นไปด้วยทั้งแผลเป็น แผลเก่า แผลใหม่ และแผลที่จะเกิดขึ้นจากมรสุมต่างๆ ในอนาคตอีกนับไม่ถ้วน ทำให้คนไทยอยู่ในวังวนเศรษฐกิจแพงแล้วแพงอีก สวนทางกับรายได้ที่ทรงกับทรุด ทำให้ชีวิตจนลงอยู่ลำบากมากขึ้นทุกวัน