บิ๊กตู่ไร้หางเสือ ยอมทุบหม้อข้าว ลดภาษีน้ำมัน

การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล จะเป็นหัวข้อใหญ่และร้อนฉ่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 15 ก.พ. นี้

การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่ปัจจุบันเก็บอยู่ที่ 5.99 บาทต่อลิตร ถูกพูดถึงมาตลอดตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ที่ราคาน้ำมันขึ้นต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล ได้มีการเรียกประชุมทีมเศรษฐกิจ ถกเรื่องนี้กันหลายรอบแล้ว ซึ่งทางกระทรวงการคลังได้กางตัวเลขให้นายกเห็นว่า หากลดภาษีน้ำมันจะเกิดวิกฤตงบประมาณ 2565 ปิดหีบงบไม่ได้

ส่งผลให้บิ๊กตู่ยอมถอนยกแรก โดยให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมัน ดูแลอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท ไปก่อน โดยการมีการอนุมัติให้กองทุนกู้เงินเพิ่มเติมได้ 2 หมื่นล้านบาท และเปิดเพิ่มเพดานพิเศษให้อีก 1 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะดูแลราคาน้ำมันไปได้จนถึงเดือน มี.ค. นี้ และหลังจากนั้นค่อยมาหาทางแก้กันใหม่อีกที

แต่นี้ยังไม่พ้นเดือน ก.พ. การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลถูกให้นำมาหารือในการประชุม ครม. เป็นการด่วน เพราะมีแรงกดดันจากกลุ่มการเมือง และกลุ่มทุนเข้ามาต่อเนื่องและบีบคั้นมากขึ้นทุกที

ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมากระทรวงการพลังงาน และกระทรวงการคลัง หารือกันไม่เว้นวันหยุดราชการเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ว่าถึงเวลาที่จะลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลหรือยัง และหากลดจะต้องลดลงเท่าไร

อย่างไรก็ตาม การหารือดังกล่าว แม้จะมีข้อสรุปอยู่ในใจของผู้บริหารทั้ง 2 กระทรวงแล้ว แต่คนสุดท้ายที่จะตัดสินใจว่าจะลดภาษีน้ำมันดีเซลหรือไม่ จะลดเท่าไร ล้วนเป็นเรื่องที่บิ๊กตู่ต้องรับเผือกร้อนนี้ไปคนเดียว เพราะการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันครั้งนี้ เป็นเรื่องของการเมืองนำมากกว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจนำ

ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของบิ๊กตู่ ในการบริหารวิกฤตเศรษฐกิจ ที่มาจากปัญหาราคาน้ำมันแพง การเลือกแนวทางของบิ๊กตู่ จะพิสูจน์อีกครั้งว่าบิ๊กตู่มีฝีไม้ลายมือการบริหารเศษฐกิจของประเทศมากแค่ไหน

ว่าไปแล้ว ปัจจุบันกองทุนน้ำมันยังสามารถดูแลราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้ราคาเกิน 30 บาทต่อลิตร ตามที่รัฐบาลสัญญาไว้ ถึงแม้ว่า เงินกู้ 3 หมื่นล้านบาท ไม่พอ รัฐบาลก็ยังสามารถอนุมัติวงเงินกู้เพิ่มให้กองทุนน้ำมันหามาพยุงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรไปได้อีกตามที่ต้องการ

แต่กองทุนน้ำมันไม่สามารถทำให้ราคาน้ำมันดีเซลราคาถูกลงกว่าลิตรละ 30 บาท ตามข้อเรียกร้องของเอกชน หรือนักการเมืองอาชีพ เพราะต้องใช้เงินอุดหนุนอย่างมาก ท่ามกลางราคาตลาดน้ำมันโลกที่ยังประเมินได้ยากว่าจะแพงขึ้นไปมากไปนานอีกแค่ไหน

แต่การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล สามารถทำให้ราคาน้ำมันถูกลงในระยะสั้นได้ทันที เช่น หากบิ๊กตู่เคาะให้ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 3 บาท ก็จะทำให้วันรุ่งขึ้นราคาน้ำมันดีเซลจากลิตรเกือบ 30 บาท เหลือลิตรละ 27 บาททันที

ในทางการเมือง เรียกว่าเห็นผลทันใจทันที ทำให้การลดภาษีน้ำมันดีเซลถูกหยิบขึ้นมาหรือเป็นวาระด่วนก่อนเวลาอันควร ซึ่งในทางเศรษฐกิจการลดภาษีถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ เพราะการลดภาษีต้องเสียเงินภาษีหลายหมื่นล้านบาท

ยังไม่รวมหากลดไปแล้ว กลับขึ้นภาษีไม่ได้ตามกำหนด หรือลดแล้วไม่พอ ลดเพิ่มอีก ก็จะทำให้เสียภาษีเป็นหลักแสนล้านบาท

และการลดภาษีดังกล่าว ก็การันตีไม่ได้เลยว่าจะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลถูกลงไปนานได้ขนาดไหน หากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศไทยปรับขึ้นทุกสัปดาห์เหมือนที่เป็นอยู่ ไม่เกิน 2 เดือน ราคาน้ำมันดีเซล ก็จะขึ้นไปชนเพดานที่ 30 บาทอยู่ดี

หลังจากนั้นก็ต้องเอาเงินกองทุนน้ำมัน เข้ามาช่วยพยุงเหมือนเดิม เรียกว่าแทนที่จะมีปัญหาทางเดียว กลายเป็นมีปัญหาทั้ง 2 ทาง ทั้งเงินภาษีที่หายไปกระทบกับการเก็บรายได้ของรัฐบาล และภาระของกองทุนน้ำมันที่ต้องหาเงินกู้มาโปะเพิ่ม

ดังนั้นอยู่ที่บิ๊กตู่ตัดสินใจว่า จะทนแรงกดดันจากนักการเมืองมืออาชีพ และกลุ่มทุนที่ได้ประโยชน์จากการลดภาษีน้ำมันดีเซลได้แค่นั้น หากทนแรงกดดันไม่ได้ นายกก็ต้องยอมเสียศูนย์แก้ปัญหาโดยการสร้างปัญหาใหม่ที่หนักหนาแก้ยากกว่าเดิม

การลดภาษีสรรพสามิต เป็นการทุบหม้อข้าวของรัฐบาล แก้ปัญหาราคาน้ำมันแพงไม่ได้ แต่ซื้อใจทางการเมืองได้ เป็นของกำนันที่กลุ่มทุนในแวดวงธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เรียกร้อง

วันนี้บิ๊กตู่มาถึงทางแยกสำคัญว่า จะยืนบนหลักการยอมเจ็บเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทางการคลังการเงินของประเทศในระยะยางไว้ หรือ จะยอมงอเสียหลักไม่มีหางเสือลดภาษีน้ำมัน ภาษีเสียหายเท่าไรไม่ว่า ขอให้ได้ใจทางการเมืองเป็นพอ

หากบิ๊กตู่ตัดสินใจเช่นนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการราดน้ำมันจุดเผาถังเงินของประเทศตัวเองจนเป็นวิกฤตการคลังการเงินของประเทศตามมา