posttoday

บาทแข็ง28ต่อเหรียญทุบสถิติปี53

26 ธันวาคม 2553

ค่าบาทแข็งค่าขึ้นทดสอบระดับ 28 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทุบสถิติแข็งค่าสูงสุดในปี2553

ค่าบาทแข็งค่าขึ้นทดสอบระดับ 28 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทุบสถิติแข็งค่าสูงสุดในปี2553

ในที่สุดเงินบาททุบสถิติอีกครั้งรอบปี 2553 โดยขึ้นไปแข็งค่าสุดทดสอบที่ระดับ 28 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนพ.ย. เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปแล้ว 11.3% ทำผู้ส่งออกอกสั่นขวัญผวา รายได้ในรูปเงินบาทหดหาย โดยเงินบาทได้ผันผวนต่อเนื่องตลอดปี ก่อนจะมายืนที่ระดับประมาณ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐช่วงปลายปี

เหตุผลหลักที่เงินบาทแข็งพรวดพราด เพราะปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐ และสหภาพยุโรป(อียู) ที่ยังง่อนแง่น ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในตลาดเอเชีย ส่งผลให้ค่าเงินในเอเชียแข็งค่าถ้วนหน้า ขณะที่เงินบาทของไทยยังคงแข็งค่านำโด่งแซงเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศเอเชีย รองแชมป์จากเงินเยนของญี่ปุ่นที่แข็งพรวดไปแล้ว 14.3% เนื่องจากนักลงทุนมองเสถียรภาพการเมืองของไทยที่ยังพอไปได้ และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่มีศักยภาพน่าสนใจนำเงินเข้ามาลงทุนทั้งตลาดหุ้น และตลาดพันธบัตร หนุนเงินบาทคึกคักตลอดปี

นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย แนะนำให้ผู้ส่งออกเตรียมรับความผันผวนจากเงินบาทปีละ 2 บาท เพื่อหาวิธีป้องกันค่าเงินไม่ให้ส่งผลต่อรายได้ที่กลับเข้ามาในรูปเงินบาท ขณะที่ปีหน้าเงินทั่วโลกจะไหลเข้ามาในไทยมากกว่าปีนี้ จากความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจสหรัฐ และยุโรป

อย่างไรก็ดีศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า เงินบาทอาจมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นทดสอบระดับ 29 บาทต่อเหรียญสหรัฐในช่วงสิ้นปีนี้ และ 28 บาทต่อเหรียญสหรัฐในสิ้นปี 2554 เพราะสหรัฐอาจเข้าพยุงเศรษฐกิจด้วยการออกมาตรการทางการเงินรอบใหม่ในปี 2554

ขณะเดียวกันกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ และลูกค้ากลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ยังคงเผชิญความท้าทายกับความสามารถในการชำระหนี้ เพราะผู้ประกอบการบางรายเริ่มหยุดผลิตสินค้า ขายไปก็เผชิญภาวะขาดทุน

นายเวทย์ นุชเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายไม่กล้าผลิตสินค้า และบางรายเริ่มหยุดส่งออก เพราะขาดทุนจากค่าเงินบาท ขณะที่คำสั่งซื้อขณะนี้เป็นคำสั่งซื้อในอดีตที่มีการล็อกต้นทุนไว้แล้ว ผู้ประกอบการจึงเริ่มไม่มั่นใจสถานการณ์ค่าเงินในช่วง 3 เดือนข้างหน้า กลัวเงินบาทจะผันผวน หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ธนาคารจึงคาดการณ์ว่าต้นปีหน้าจะเริ่มเห็นลูกค้าขนาดใหญ่ได้รับผลกระทบจากค่าเงิน และอาจเริ่มเห็นเอ็นพีแอลในเดือนม.ค. 2554 ทำให้ธนาคารต้องดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด