posttoday

หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นทะลุ 14 ล้านล้านบาท เกิน 90% ของจดีพี

25 สิงหาคม 2564

สภาพัฒน์ หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นทะลุ 14 ล้านล้านบาท เกิน 90% ของจดีพี เนื่องจากคุณภาพสินเชื่อแย่ลงเกือบทุกตัว

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี 2564 ในส่วนของหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น และยังต้องเฝ้าระวังคุณภาพสินเชื่อที่อาจด้อยลง

โดยไตรมาสหนึ่ง ปี 2564 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 14.13 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 จากร้อยละ 4.1ในไตรมาสก่อน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90.5 ต่อ GDP ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการเลื่อนและพักชำระหนี้ที่ทำให้ยอดหนี้คงค้างไม่ลดลง รวมทั้งครัวเรือนที่ไม่ได้รับผลกระทบมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้น ขณะที่คุณภาพสินเชื่อยังต้องเฝ้าระวัง โดยสัดส่วน NPLs ของสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 2.92 เพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 2.84 ในไตรมาสก่อน และด้อยลงเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อที่อยู่อาศัย สะท้อนให้เห็นว่าครัวเรือนเริ่มมีปัญหาในการหารายได้หรือสถานะทางการเงินเปราะบางมากขึ้น

หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นทะลุ 14 ล้านล้านบาท เกิน 90% ของจดีพี

ประเด็นที่ต้องติดตามในระยะถัดไป ได้แก่

1. ผลของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เดิม และการออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม แม้ว่าสถาบันการเงินได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมจากสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ แต่เนื่องจากผลกระทบเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจึงจ าเป็นต้องเร่งรัดการด าเนินมาตรการให้เร็วขึ้น โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากสถาบันการเงินทุกแห่ง เพื่อให้สามารถประคับประคองสถานะทางการเงินของครัวเรือนให้ผ่านพ้นจากวิกฤตไปได้ ไม่ให้เป็นหนี้เสีย ชะลอการฟ้องร้องคดี รวมถึงการยึดทรัพย์อย่างไรก็ตาม ต้องระวังไม่ให้เกิดพฤติกรรมที่ท าให้ลูกหนี้ดีไม่ช าระหนี้ตามปกติ(Moral Hazard)

2. รายได้ ความสามารถในการช าระหนี้ของครัวเรือน และการก่อหนี้นอกระบบ จากสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดจะส่งผลกระทบต่อรายได้และฐานะการเงินของครัวเรือนและเพิ่มความเสี่ยงการผิดนัดช าระหนี้ ประกอบกับสถาบันการเงินชะลอการปล่อยสินเชื่ออาจท าให้ครัวเรือนที่ขาดสภาพคล่องหันไปก่อหนี้นอกระบบ จึงควรมีมาตรการรักษาการจ้างงาน ควบคู่กับการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งอาจใช้กลไกสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐในการช่วยเหลือ

3. การเฝ้าระวังกลุ่มมิจฉาชีพฉวยโอกาสหลอกลวงโดยการให้สินเชื่อผ่าน Online Platform ซึ่งเป็นการด าเนินการที่ผิดกฎหมาย และส่งผลกระทบให้ผู้หลงเชื่อเสียข้อมูลส่วนบุคคล จ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงและโดนติดตามทวงหนี้ด้วยวิธีที่รุนแรงได้จึงควรเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ รวมทั้งคณะกรรมการก ากับทวงถามหนี้เข้ามามีบทบาทในการควบคุมดูแลให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น ซึ่งล่าสุดก็ได้มีประกาศก าหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการทวงถามหนี้ฉบับใหม่ ขณะเดียวกันประชาชนควรตรวจสอบรายชื่อจากผู้ให้บริการทางการเงิน (ที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์) ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายก่อนการกู้ยืมเงิน