posttoday

"บิ๊กตู่" เอาไม่อยู่ วิกฤตโควิดรอบสาม ทำเศรษฐกิจไทยดิ่ง

15 เมษายน 2564

"บิ๊กตู่" หนีความรับผิดชอบไม่พ้นที่บริหารการแพร่ระบาดโควิดรอบ 3 ล้มเหลว ทำเศรษฐกิจจมอยู่ในวิกฤตแสนสาหัสลืมตาอ้าปากไม่ได้

ไม่ต้องบรรยายว่า การแพร่ระบาดโควิด-19 รอบ 3 ที่มีผู้ติดเชื้อวันละกว่า 1,500 คน เป็นความล้มเหลวการบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่ต้นตอของการระบาดรอบใหม่ที่ผับทองหล่อ เพราะเจ้าหน้าที่รัฐบาลปฏิหน้าที่หย่อนยาน

ขณะที่รัฐบาลบิ๊กตู่ก็กล้าๆ กลัวๆ ในการแก้ไขยับยั้งการระบาดโควิดรอบ 3 อย่างเห็นได้ชัด กรณีการปล่อยให้มีการเดินทางเที่ยวในวันหยุดยาวสงกรานต์ ทั้งๆ ที่ฝ่ายของทีมหมอในทีมของรัฐบาลเสนอให้มีการล็อกดาวน์การเดินทางให้ลดลงมากที่สุด

เมื่อรัฐบาลบิ๊กตู่ ห่วงเศรษฐกิจของนายทุนมากกว่า การป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้ไม่มีใครแปลกใจที่ตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะพุ่งจากหลักร้อยต่อวัน ทะลุหลักพันต่อวันในชั่วข้ามคืน

การระบาดของโควิดรอบ 3 ถือว่ารุนแรงกว่ารอบ 1 และ รอบ 2 ที่ผ่านมา และส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจอย่างหนักจนประชาชนและผู้ประกอบการสิ้นหวังกับการบริหารปัญหาโควิด-19 และเศรษฐกิจของรัฐบาล

ที่ผ่านมา การระบาดของโควิดรอบแรก ทำให้เศรษฐกิจปี 2563 ทรุดหนักติดลบกว่า 6% ส่วนการระบาดรอบสองปลายปี 2563 รัฐบาลอ้างได้ว่ากระทบกับเศรษฐกิจน้อยกว่ารอบแรก เพราะไม่ได้ล็อกดาวน์ประเทศเหมือนรอบแรก ทำให้เศรษฐกิจไทย 2564 ยังเดินหน้าต่อไปได้ และจะทำให้ขยายตัวได้ 4%

แต่สำหรับการระบาดของโควิด-19 รอบ 3 รัฐบาลไม่สามารถแก้ตัวได้แบบเดิมอีกต่อไป เพราะมีการคาดกันว่ากระทบกับเศรษฐกิจไทยมากกว่ารอบแรก และรอบสองอย่างแน่อน

เหตุผลประการแรก การที่รัฐบาลไม่ล็อกดาวน์ประเทศในช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ ซึ่งเป็นตัวเร่งการแพร่เชื้อเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์

เหตุผลประการต่อมา การที่รัฐบาลไม่ยอมล็อกดาวน์ประเทศในช่วงสงกรานต์ ก็ไม่ทำให้คนเดินทางไปเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจมากอย่างที่รัฐบาลคาดฝันไว้ เพราะมีคนจำนวนมากยกเลิกการท่องเที่ยว เพราะกลัวติดเชื้อโควิด

เหตุผลสุดท้าย รัฐบาลหมดหน้าตักไม่มีเงินแก้ปัญหาโควิด เพราะเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท แจกเงินเยียวยารอบแรกและรอบสองไปหมดแล้ว หากรอบสามจะแจกเงินเยียวยากอีก รัฐบาลต้องออก พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่ม ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลพยามยามหลีกเลี่ยง เนื่องจากถูกโจมตีทางการเมืองว่าเป็นรัฐบาลดีแต่กู้เงิน สร้างหนี้ให้ประเทศ แต่แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้

ดังนั้นการไม่ตัดสินใจล็อกดาวน์ประเทศในช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ จึงเป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย จนวันนี้ทำให้ประเทศไทยหนีการล็อกดาวน์ไม่ได้ในที่สุด หลังจากยอดติดเชื้อล่าสุดทะลุ 1,500 คน และมีการประเมินกันว่าหลังสงกรานต์จะมียอดผู้ติดเชื้อมากว่านี้

จากการประเมินของหมอ ระบุชัดว่า หากรัฐบาลไม่มีมาตรการใดๆ ออกมา จะทำให้ผู้ติดเชื้อโควิดของไทยเพิ่มขึ้นวันละกว่า 9,000 คน จึงทำให้ประเทศไทยหนีล็อกดาวน์แบบไม่เต็มตัวหรือแบบเต็มตัวไม่ได้ในที่สุด เพราะจากที่มีการติดเชื้อโควิดกันไม่กี่จังหวัดในช่วงไม่กี่วันกลายเป็นติดกันทั้งประเทศครบทุกจังหวัดประเทศไทย

เมื่อเป็นเช่นนี้การระบาดโควิดรอบ 3 จึงส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยมากกว่ารอบแรกและรอบสอง

การระบาดของโควิดรอบแรก รัฐบาลเลือกทางล็อกดาวน์ประเทศ ชนิดที่เรียกว่าเจ็บแต่จบ แต่ก็ส่งผลเสียกับเศรษฐกิจจำนวนมาก ทำให้การระบาดรอบสองรัฐบาลไม่ล็อกดาวน์ แต่คุมการระบาดของโควิดได้ ทำให้ไม่ต้องเจ็บมากแต่ก็จบได้เหมือนกัน

แต่สำหรับการระบาดรอบสาม รัฐบาลเลือกไม่เจ็บแต่ไม่จบ เพราะคุมการระบาดไม่ได้เหมือนรอบแรกและรอบสอง ทำให้เศรษฐกิจที่ระงมพิษโควิดรอบแรกและรอบสอง ยังไม่ได้ฟื้นตัว มาเจอโควิดรอบสามที่รุนแรงกว่าทุกรอบ ทำให้เศรษฐกิจกลายเป็นดาวตกสิ้นแสงความหวังไปอย่างรวดเร็ว

ความฝันของรัฐบาลที่จะให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวได้ 4% เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ ยื่งพูดรัฐบาลก็ยิ่งไม่มีความน่าเชื่อถือ

ล่าสุดมีการประเมินกันว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้เจอรอบ 3 ทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงขยายตัวได้ไม่ถึง 2% ซึ่งนั้นเป็นการประเมินที่ตัวเลขรอบที่ติดเชื้อรอบ 3 อยู่ที่หลัก 100 คนต่อวัน แต่เมื่อการติดเชื้อมาเป็นหลัก 1,000 คนต่อวัน การขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้มีความเสี่ยงติดลบเหมือนปีที่ผ่านมาได้เหมือนกัน

สภาพเศรษฐกิจของรัฐบาลบิ๊กตู่ตอนนี้ จึงเหมือนนักมวยโดนหมัดเสยปลายคางน็อคทั้งยืน เพราะการแก้ไขที่ไม่เด็ดขาด ความกล้าๆ กลัวๆ ทำให้ปัญหาการระบาดโควิดเอาไม่อยู่ ทำเศรษฐกิจไทยล้มทั้งยืนลงไปนอนกองกับพื้นไปด้วย

ซึ่งวิกฤตโควิดและเศรษฐกิจรอบ 3 โทษใครไม่ได้ นอกจากรัฐบาลที่เป็นคนการ์ดตกเสียเอง เป็นทั้งต้นตอของการแพร่ระบาดรอบใหม่ และยังเป็นผู้นำการแก้ปัญหาที่ไม่เด็ดขาด ทำให้ประชาชนและเศรษฐกิจไทยอยู่ในวิบากกรรมที่หาทางรอดได้ยาก ภายใต้การแก้ปัญหาของรัฐบาลบิ๊กตู่