posttoday

กลุ่มธนาคารยูโอบีฟื้นตัวท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด

02 มีนาคม 2564

กลุ่มธนาคารยูโอบีกำไรไตรมาส 4 ปี 63 ดีดตัวบวก 3% แต่ทั้งปีลดลง 33%

กลุ่มธนาคารยูโอบีซึ่งมุ่งเน้นภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกาศรายได้รวมที่ 9.18 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.91 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ สำหรับปีงบการเงินสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจและกิจกรรมทางธุรกิจที่กำลังฟื้นตัวทั่วภูมิภาค ส่งผลให้กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 4 ปี 2563 สูงขึ้นจากไตรมาสก่อน (ไตรมาส 3 ปี 2563) 3% อยู่ที่ 688 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ อันเป็นผลจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและรายได้จากค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น รวมถึงเงินกันสำรองที่ลดลง

กลุ่มธนาคารให้การสนับสนุนลูกค้าทั่วภูมิภาคตลอดปีท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด ผ่านโครงการให้ความช่วยเหลือต่างๆ นอกเหนือจากมาตรการให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐ ในขณะที่โครงการพักชำระหนี้ทั่วภูมิภาคใกล้สิ้นสุดลงและความช่วยเหลือต่างๆ เริ่มน้อยลง หน่วยงานที่กลุ่มธนาคารตั้งขึ้นเพื่อดูแลด้านการปรับโครงสร้างเข้านัดหมายลูกค้าแบบเชิงรุกและพิจารณาให้ความช่วยเหลือแบบองค์รวมแบบเฉพาะเจาะจงบัญชีแก่ลูกค้าสินเชื่อที่มีศักยภาพ ผลของการพิจารณานี้ชี้ให้เห็นถึงพอร์ตโฟลิโอที่ฟื้นตัวและมีหลักทรัพย์ค้ำประกันที่ดี ทำให้กลุ่มธนาคารคาดการณ์ว่าอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองจะปรับตัวลดลงในปี 2564

ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของปี 2563 ลดต่ำลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากสภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ แต่เริ่มฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง โดยเพิ่มขึ้น 4 จุดเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 1.57% ในไตรมาส 4 ของปี 2563 แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการหนี้สินของกลุ่มธนาคารในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง ทำให้เงินฝากในบัญชีกระแสรายวันและบัญชีออมทรัพย์เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าและมีสัดส่วนบัญชีกระแสรายวันและบัญชีออมทรัพย์ของทั้งปีสูงขึ้นที่ 53.5% ทังนี้จึงคาดการณ์ว่าส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะคงตัวในปี 2564 ส่วนอัตราดอกเบี้ยน่าจะคงตัวอยู่ในระดับต่ำในอนาคตอันใกล้

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กลุ่มธนาคารได้ดำเนินการพัฒนาขีดความสามารถด้านดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นช่องทางการให้บริการของธนาคารผ่านโทรศัพท์มือถือและออนไลน์ เช่น UOB Mighty, TMRW และ UOB Infinity รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการด้านดิจิทัล เช่น การบริหารเงินสด โซลูชันด้านการเงินและความมั่งคั่ง การพัฒนาเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในปี 2563 เมื่อลูกค้าต้องอยู่บ้านตามมาตรการรักษาระยะห่าง การดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่องในช่วงวิกฤตการระบาดมีผลส่วนหนึ่งให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของกลุ่มลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 6% อยู่ที่ 134 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ ซึ่งประมาณ 60% เป็นลูกค้าจากต่างประเทศ

นอกจากนี้กลุ่มธนาคารยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโซลูชันเพิ่มเติมเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อช่วยลูกค้ากลุ่มธุรกิจให้เข้าถึงโอกาสจากศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และการเชื่อมต่อสู่กลุ่มประเทศ Greater China ด้วยฐานลูกค้าแฟรนไชส์ในระดับภูมิภาคที่เข้มแข็งและหลากหลาย รายได้ข้ามพรมแดนสำหรับปี 2563 เติบโตขึ้นร้อยละ 1 แม้ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย นอกจากนี้ ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ 48% เมื่อเทียบกับ 41% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของแฟรนไชส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เพื่อปฏิบัติตามแนวทางของธนาคารกลางสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore) สำหรับธนาคารท้องถิ่นเรื่องการกำหนดเพดานเงินปันผลปี 2563 คณะกรรมการจึงเสนอจ่ายเงินปันผลที่ 39 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญ พร้อมตัวเลือกการจ่ายเงินปันผลด้วยภาระหนี้สิน (scrip dividend) ซึ่งเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาล 39 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญ เงินปันผลทั้งหมดสำหรับปี 2563 คิดเป็น 78 เซ็นต์ต่อหุ้นสามัญหรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 45%

นาย วี อี เชียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารยูโอบี กล่าวว่า “แม้จะเผชิญกับความท้าทายของโรคระบาดทั่วโลก ธนาคารยังคงมีงบดุลที่แข็งแกร่งเพื่อช่วยลูกค้ากลุ่มธุรกิจและกลุ่มผู้บริโภคในช่วงเวลาที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด เรามีการตั้งสำรองและเงินทุนปริมาณที่เพียงพอเพื่อสนับสนุนลูกค้าอย่างต่อเนื่องและเพื่อคงฐานะที่มั่นคง

“ในช่วง 12 ถึง 18 เดือนต่อจากนี้ สภาวะเศรษฐกิจมหภาคน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป การเชื่อมต่อของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับกลุ่มประเทศ Greater China พร้อมด้วยกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งในภูมิภาคที่กำลังเติบโตยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโต ด้วยเครือข่ายของธนาคาร ความเชี่ยวชาญอย่างถ่องแท้ในแต่ละประเทศ และข้อมูลเชิงลึกตามกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้เรายังคงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้ลูกค้าคว้าโอกาสในการเติบโตนี้เอาไว้ได้

“เราจะยังคงปรับกลยุทธ์ระดับภูมิภาคของเราให้ดียิ่งขึ้นเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ในขณะเดียวกันก็จะส่งเสริมคุณภาพสินทรัพย์และควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัยและมีประสิทธิภาพ จากการคาดการณ์ว่าส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะคงอยู่ในอัตราต่ำ เราจึงทำการปรับสมดุลของธุรกิจ โดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งและการเชื่อมต่อ ที่จะนำมาซึ่งมูลค่าที่เพิ่มขึ้นแก่ลูกค้าของธนาคาร และเพิ่มรายได้จากค่าธรรมเนียมให้สูงยิ่งขึ้น โดยผ่านกลยุทธ์หลากหลายช่องทาง (omni-channel) เพื่อให้บริการลูกค้าธนาคารที่ปรับเปลี่ยนมาใช้โซลูชั่นธนาคารดิจิทัล เราเชื่อว่าธนาคารจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเมื่อวิกฤตนี้ผ่านพ้นไป และกลับไปสู่ระดับกำไรก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นำโดยการเติบโตในระดับแนวหน้าและต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อที่ต่ำลง พร้อมส่งมอบอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ถือหุ้นของเรา”