posttoday

5 สาเหตุที่ปู่ SET ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดหุ้นโลก

28 กันยายน 2563

คอลัมน์ 10 เรื่องต้องรู้ สู่ความมั่งคั่ง โดย นิษณากาญจน์ ภาษวัธน์ ธนาคารกสิกรไทย

1. ผ่านไปแล้ว 3 ไตรมาสของปี 2020 ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ความผันผวนของตลาดที่สูง และระดับการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ การคาดการณ์ทุกอย่างทำได้อย่างยากลำบาก แต่ก็ใช่ว่าผลตอบแทนของนักลงทุนในปีนี้จะแย่จนน่าตกใจ เพราะ หลังจากแตะจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกอ้างอิงจากดัชนี MSCI All-country World ก็รีบาวด์แรงทำให้ผลตอบแทนรวมปันผลสูงถึง 45% (ข้อมูล ณ วันที่ 24 กันยายน 2020) ทำให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีของหุ้นโลกติดลบเพียงเล็กน้อยที่ 1% เท่านั้น

2. แต่สำหรับท่านนักลงทุนที่เลือกลงทุนในหุ้นภูมิภาค หรือ กลุ่มธุรกิจที่เป็น Winner ต่างก็น่าจะได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจไม่น้อย เช่น หุ้นจีน A-Share ผ่าน ดัชนี CSI 300 ให้ผลตอบแทนเป็นบวกที่ 14% ตั้งแต่ต้นปี หรือหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ผ่านดัชนี NASDAQ 100 ที่ปรับตัวแรงถึง 26% ตั้งแต่ต้นปี แม้ว่าจะมีการปรับฐานล่าสุดในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาก็ตาม ตอกย้ำกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ที่แตกต่างจากวิกฤตปี 2008 คือ การคัดสรรเลือกกลุ่มผู้ได้รับประโยชน์ หรือผู้ที่กำไรสุทธิสามารถเติบโตได้ดีขึ้น ซึ่งการลงทุน Active ที่คัดสรรเลือกหุ้นรายตัวคาดว่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่าการลงทุนแบบ Passive หรือซื้อตามดัชนี

3. อย่างไรก็ดี ท่านนักลงทุนที่โฟกัสเงินลงทุนทั้งหมดในหุ้นไทยอาจต้องผิดหวัง เพราะ หากย้อนกลับไปปู่ SET จบปี 2019 ที่ระดับ 1,579.84 จุด เทียบกับราคาล่าสุดที่ 1,247.46 จุด (ข้อมูล ณ วันที่ 24 กันยายน 2020) เท่ากับปู่ SET ให้ผลตอบแทนติดลบถึง 21.1% ตั้งแต่ต้นปี หากรวมผลตอบแทนรวมปันผลของดัชนี SET ก็ยังติดลบกว่า 18.7% โดย 5 สาเหตุที่ปู่ SET ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดหุ้นโลก มีดังนี้

4. เศรษฐกิจไทยหดตัวลงแรง และมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่นๆ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2020 จะหดตัว 10% YoY ในขณะที่ IMF คาดเศรษฐกิจโลกจะหดตัวเพียง 4.9% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาอุปสงค์จากต่างประเทศค่อนข้างมาก สะท้อนจากมูลค่ารวมของการส่งออกและการนำเข้าที่คิดเป็น 130% ของ GDP อีกทั้งอุปสงค์ในประเทศก็ยังคงอ่อนแอ จากอัตราว่างงานรวมถึงหนี้ครัวเรือนที่สูง ทั้งนี้ ในปี 2021 เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.4% ขณะที่เศรษฐกิจโลกคาดว่าจะขยายตัว 5.4% โดยไทยจะกลับมามีมูลค่าทางเศรษฐกิจเท่าช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด 19 ในปี 2023 เลยทีเดียว

5. กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยอ่อนแอกว่าตลาดหุ้นโลก โดยนักวิเคราะห์คาดกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยปี 2020 จะหดตัวราว 33% YoY ซึ่งหดตัวมากกว่าตลาดอื่นๆ เช่น ตลาดหุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นจะหดตัวเพียงแค่ราว 9% YoY ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ คาดว่าจะหดตัว 14% และจะกลับมาเติบโตถึง 27% ในปี 2021

6. ภาคการท่องเที่ยวที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญของไทยต้องชะงักลงจากโรคโควิด 19 แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี แต่จำนวนผู้ติดเชื้อในอีกหลายประเทศยังคงพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง การอนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าสู่ไทย ยังอาจไม่ได้รับการสนับสนุนมากมายนัก จึงจะเป็นปัจจัยหลักในการกดดันเศรษฐกิจไทยอีกระยะหนึ่ง นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่ชัดเจน และไม่ส่งผลเท่าที่ควร

7. สัดส่วนใหญ่ของกลุ่มอุตสาหกรรมในดัชนี SET เป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบด้านลบจากโรคโควิด 19 โดยอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในดัชนี SET Index คือ กลุ่มพลังงาน ที่มีสัดส่วน 22% ซึ่งได้รับผลกระทบจากการที่ราคาน้ำมันปรับลดลงแรงท่ามกลางอุปสงค์น้ำมันที่หายไป รองลงมาเป็นกลุ่มธนาคารการเงิน และค้าปลีกที่มีสัดส่วนกลุ่มละ 12% ซึ่งภาคธนาคารก็ได้แรงกดดันจากภาวะหนี้เสียที่สูงขึ้น รวมถึงทิศทางส่วนต่างดอกเบี้ยที่ลดลง ขณะที่กลุ่มค้าปลีกนอกจากถูกปิดห้างไป ก็ได้รับผลกระทบจากการบริโภคที่หดตัวชัดเจน ทั้งนี้ สัดส่วนกลุ่มหุ้น Winner อย่างกลุ่ม Healthcare มีสัดส่วนเพียง 5% และธุรกิจส่วนใหญ่เป็นธุรกิจแบบดั้งเดิม ไม่มีเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้อง เช่น Healthcare ก็ยังคงอยู่ในกลุ่มโรงพยาบาล ขณะที่ตลาดต่างประเทศเป็น Health tech หรือ Biotech รวมถึงกลุ่ม ICT ที่มีสัดส่วน 9% ก็ล้วนแล้วเป็นธุรกิจสื่อสารไม่ใช่เทคโนโลยี

5 สาเหตุที่ปู่ SET ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดหุ้นโลก

8. ปัจจุบันดัชนี SET ซื้อขายที่อัตราส่วนราคาต่อกำไรในอีก 12 เดือนข้างหน้า (Price-Earnings Ratio) ที่ 19 เท่า ซึ่งถือว่าแพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 14 เท่า และภาพรวมแพงกว่าประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ

9. สำหรับความเสี่ยงหลักของตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ คือ 1) ความตึงเครียดของการเมืองในประเทศ 2) ทิศทางค่าเงินบาทที่แข็ง 3) ภาคการส่งออกที่ยังคงหดตัวโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว 4) ความล่าช้าของการประกาศใช้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายของปี 2021 5) การเลือกตั้งในสหรัฐฯ 6) ความตึงเครียดทางการค้าสหรัฐฯ - จีน และ 7) ความพร้อมของวัคซีนที่ล่าช้า

10. โดยสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังคงอ่อนแอเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก โดยปัจจัยขับเคลื่อนเฉพาะตัวของตลาดหุ้นไทยยังไม่ชัดเจนนัก แต่จะเคลื่อนไหวตาม Sentiment ตลาดหุ้นโลกเป็นหลัก แต่ภาพรวมก็อาจจะยัง Underperform ตลาดหุ้นโลกไปอีกระยะหนึ่ง คำแนะนำกลยุทธ์การลงทุนต่อจากนี้ เรายังคงแนะนำให้กระจายความเสี่ยงในหลายๆ สินทรัพย์ โดยการลงทุนในหุ้นเรายังชอบตลาดหุ้นจีน A-share หุ้นเอเชีย หุ้นกลุ่ม Winner จากโรคโควิด 19 และหุ้นยุโรปในฐานะ laggard มากกว่าตลาดหุ้นไทย