posttoday

ผ่าทีมเศรษฐกิจใหม่ลุงตู่...ฟื้นยาก!

06 สิงหาคม 2563

ทีมเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลลุงตู่ไม่ปัง เพราะการวางคนผิดฝาผิดตัว ยึดการเมืองมากกว่าแก้วิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้ไม่มีใครเชื่อมั่น

ในที่สุดรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คลอดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ซึ่งไม่พลิกโผและก็ไม่เรียกความเชื่อมั่นนักลง ทุนไปพร้อมกัน

รายชื่อ ครม. ใหม่ประกอบด้วย

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

นายปรีดี ดาวฉาย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

นายอนุชา นาคาศัย เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม

นายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นรองนายกรัฐมนตรี อีกตำแหน่งหนึ่ง

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน

การปรับ ครม. ครั้งนี้ ประชาชนนักลงทุนจับตามองมากที่สุดคือ ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ จะมีชื่อชั้นดีกว่าทีมของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ 4 ยอดกุมาร ที่ถอดใจลาออกไปหรือไม่

โดยเฉพาะตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจที่จะมา แทนนายสมคิด และ รมว.คลัง ที่จะมาแทน นายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง

ก่อนหน้านี้ นักธุรกิจมั่นใจว่า นายปรีดี จะได้นั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ควบ รมว.คลัง ดูภาพรวมเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนอุ่นใจว่า นายปรีดีจะสานงานต่อของรองนายกสมคิด และ ทีม 4 ยอดกุมาร ต่อเนื่อง แต่ผลสุดท้ายนายปรีดี นั่ง รมว.คลัง ตำแหน่งเดียว ไม่ได้นั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนเกิดความหวั่นใจขึ้นมาทันที

ที่สำคัญ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ที่ได้เป็นทั้งรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าเป็นรองนายกด้านเศรษฐกิจ และ นั่งควบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นั้น ต้องยอมรับว่า เป็นที่รู้จักของนักลงทุน นักธุรกิจ น้อยกว่านายปรีดี และยิ่งไปเทียบกับชื่อ ชั่นของนายสมคิด นั้น ก็ต้องถือว่าเป็นรองอยู่มาก

วงในลือกันว่า การดันนายสุพัฒนพงษ์ นั่งรองนายกรัฐมนตรี เป็นการผลักดันของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ประกาศตัวเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ รวมถึงกลุ่มทุนด้านพลังงาน ที่หนุนให้ นายสุพัฒนพงษ์ เข้ามานั่ง กุมการบริหารเศรษฐกิจไว้ในกำมือให้มากที่สุด

สำหรับทีมเศรษฐกิจกระทรวงอื่นๆ ก็ยังแบ่งตามโควต้าพรรคการเมืองอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้คิดถึงภาพรวมการบริหารเศรษฐกิจ ในยามวิกฤตจากพิษโควิด-19 เป็นสำคัญ ทำให้นักลงทุนไม่เชื่อว่าการ บริหารเศรษฐกิจของ ครม. ใหม่ จะเป็นเอกภาพ มีประสิทธิภาพ มีนโยบายและมาตรการที่ได้ผลมากกว่าทีมเดิมของนายสมคิด และ 4 ยอดกุมาร

ปัญหาเศรษฐกิจก่อนหน้าการปรับ ครม. ว่าหนักหนาแล้ว แต่ เศรษฐกิจหลังปรับ ครม. สาหัสมากกว่า การได้ทีมเศรษฐกิจที่ไม่ดีกว่าทีมเศรษฐกิจเก่า ยอมทำให้นักลงทุนขวัญหนีดีฝ่อ

กระทรวงการคลัง ประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวติดลบ 8.5% ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัย หอการค้า ไทย คาดว่าติดลบ 9.4% คณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดว่าติดลบ 7-9%

ด้าน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าจะติดลบ 8.1% และคาดว่าจะคาดการณ์ใหม่ติดลบมากกว่านี้ โดยมองว่าเศรษฐกิจ ไทยไตรมาส 2 ที่ผ่านมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว คาดว่าจะติดลบ 12.5%

ส่วนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะประกาศตัวเลนเศรษฐกิจไตรมาส 2 ในสิ้นเดือนนี้ รวมถึงคาด การณ์เศรษฐกิจปีนี้ใหม่ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวติดลบ 5-6% ซึ่งข้อมูลข้อเท็จจริงหนีไม่พ้นว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวติดลบ มากกว่าเดิม โดยมีการลุ้นกันว่าจะลึกลงไปมากกว่าเลขสองหลัก หรือไม่

จากการประมาณการเศรษฐกิจของหน่วยงานต่าง เป็นประจักษ์ เห็นได้ชัดว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะทรงกับทรุด ยังไม่เห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจน ซึ่ง ทุกแห่งให้ความเห็นเหมือนกันหมดว่าเกิด จากผลกระทบจากโควิด-19 เป็นสำคัญ และรัฐบาลต้องเร่ง มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นการเร่งด่วน

แต่เมื่อไปดู มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลรายตัว พบว่า ไม่ทำงาน เป็นยาหมดอายุ ไม่ว่า จะเป็นการแจกเงินเยียวยาจาก เงินกู้ 6 แสนล้านบาท ยังเหลือเงินอีก 2 แสนล้านบาท ที่ยังไม่รู้ ว่าจะทำมาตรการอะไรต่อ

ส่วนเงินกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจจากเงินกู้ 4 แสนล้านบาท มีการเบิกจ่ายจริงไม่ถึงหลักร้อยล้านบาท

เงินกู้ซอฟท์โลนของ ธปท. 5 แสนล้านบาท มีการปล่อยกู้ได้ 1 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าของเก่าลูกค้าดีของธนาคารพาณิชย์ ส่วนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะผ่อนปรนอย่างไรให้เอสเอ็มอีที่กำลังล้มหายตายจากไปได้เข้าถึงเงินกู้นี้ เพื่อต่อลมหายใจ

การตั้งกองทุนเอสเอ็มอี 5 หมื่นล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยไม่ต้องผ่านสถาบันการเงิน ยังติดปัญหาข้อกฎหมายทำไม่ได้ ทำให้มีการมองกันว่า ครึ่งปีหลังที่เหลือจะมีผู้ประกอบการปิดกิจการและมีคนตกงานเพิ่มมากขึ้น

ความหวังสุดท้ายของเศรษฐกิจไทย คือ ทีมเศรษฐกิจใหม่ ที่จะเป็นอัศวินขี้ม้าขาวมาช่วย แต่เมื่อทีมเศรษฐกิจใหม่ถูกตั้งเพราะเหตุผลการเมืองผิดฝาผิดตัว กลายเป็นอัศวินม้าไม้ ประชาชนนักลงทุนจึงไม่เชื่อมั่น ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยเพิ่มมากขึ้น

เศรษฐกิจไทยเจอพิษโควิด-19 ประชาชนและนักลงทุนก็แทบสิ้นหวังแล้ว และเมื่อต้องมาเจอทีมเศรษฐกิจที่เรียกความเชื่อมั่นไม่ได้ ทำให้ประชาชนและนักลงทุนอาจจะต้องสิ้นใจ