posttoday

“อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ ”เปิดกลยุทธ์สร้างการเติบโต

25 ธันวาคม 2562

ตั้งเป้า 10 ปี ติดท็อป 10 พร้อมเข้าระดมทุนตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ มองธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยยังมีโอกาสเติบโต ต่างชาติสนใจลงทุน

ตั้งเป้า 10 ปี ติดท็อป 10 พร้อมเข้าระดมทุนตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ มองธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยยังมีโอกาสเติบโต ต่างชาติสนใจลงทุน


นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยถึง ทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ ว่า บริษัทประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่คาดไว้ และถือว่าเป็นปีที่ดีที่สุดนับจากได้เริ่มก่อตั้งบริษัท โดยขณะนี้บริษัทได้พัฒนาโครงการรวมทั้งสิ้น 7 โครงการมูลค่า 5,862 ล้านบาท และมีแผนเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่องในปีหน้า เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ว่า 3 ปีจะพัฒนาโครงการทั้งสิ้น 7,000 ล้านบาท


ทั้งนี้ 7 โครงการ ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ ‘อัลติจูด สามย่าน-สีลม’, อัลติจูด ดีไฟน์, อัลติจูด ซิมโฟนี, แบรนด์บ้านซูเปอร์ลักชัวรี่ ‘อัลติจูด มาสเตอรี’ และ ‘อัลติจูด พรูฟ’ แบรนด์โฮมออฟฟิศ ระดับพรีเมี่ยม

“ ปีนี้บริษัทเติบโตสวนอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัว โดยคาดว่าสิ้นปียอดขายจะอยู่ที่ 2,700 ล้านบาท เติบโตจากปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ 700-800 ล้านบาท และจะมียอดขายแตะระดับ 5,000 ล้านบาทในปี 2564 ซึ่งจะเป็นปีที่บริษัทจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ “ นายชยพลกล่าว

นอกจากนี้ บริษัทก็ไม่ได้รับผลกระทบจากการประกาศใช้มาตรการ LVT ของธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องจากที่ผ่านมานั้นลูกค้าของบริษัทที่เข้ามาซื้อโครงการของบริษัทที่ระดับการวางเงินดาวน์ 15-30% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่สูงอยู่แล้ว

สำหรับแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ว่า ยังมีโอกาสการเติบโตได้และมองว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2562 เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังเป็นที่ต้องการเข้ามาลงทุนของนักลงทุน เพราะเมื่อเปรียบเทียบอสังหาริมทรัพย์ของไทยกับต่างประเทศ เช่นเปรียบเทียบกับจีนและฮ่องกงราคา อสังหาริมทรัพย์ไทยต่ำกว่า 3-4 เท่าตัว

ขณะที่ระบบสาธารณูปโภค และระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพมหานครที่รัฐยังคงลงทุนรอบใหญ่ก็จะสนับให้เกิดการเข้ามาลงทุน เพราะการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจะให้ผลตอบแทน ที่ดีกว่า รวมถึงมาตรการของภาครัฐที่ออกมาก็จะสนับสนุนและกระตุ้นให้เกิดการเติบโต ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำก็จะทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองส่วนตัวอยากให้รัฐบาลมีมาตรการออกมากระตุ้นเพิ่มเติมและต่อเนื่องโดยเฉพาะในการดึงเงินออมของกลุ่มเศรษฐีให้เข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพราะคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ สามารถซื้อเงินสด หรือวางดาวน์ในระดับที่สูงถึง 50% ได้ ในขั้นแรกของการซื้อรัฐก็จะมีรายได้จากภาษีที่เกิดขึ้น แต่ในขั้นตอนการขายออกหรือการโอนต่อให้ทายาทให้รัฐนำมาตรการทางภาษีมาใช้ เช่นลดภาษีมรดกให้เป็นต้น

นายขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัทอัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า บริษัทได้ใช้กลยุทธ์การทำธุรกิจแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) เพื่อสร้างการเติบโต ให้กิจการ และในการร่วมทุนบริษัทจะต้องถือหุ้นในสัดส่วน 51% โดยการร่วมทุนจะมี 3 รูปแบบ 1. นำที่ดินมาร่วมทุน 2. กลุ่มผู้ร่วมทุนมีเงินทุนพร้อมเข้ามาลงทุน 3.ร่วมทุนกับต่างประเทศ ที่มีทั้งเงินทุนและประสบการณ์ ซึ่งการทำธุรกิจในรูปแบบนี้จะสามารถสร้างการเติบโตและกระจายความเสี่ยงได้ ซึ่งด้วยกลยุทธ์ในลักษณะนี้เชื่อว่าจะผลักดันให้บริษัทก้าวขึ้นติดอันดับ 1 ใน 10 ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้ในอีก 10 ปี หรือเมื่อถึงตอนนั้นบริษัทจะมียอดขายในระดับ 2 หมื่นล้านบาท

สำหรับการร่วมทุนในการพัฒนาโครงการ ที่ผ่านมาบริษัทได้ ร่วมทุนกับ ค รีท กรุ๊ป (Creed Group) พันธมิตรใหม่จาก ญี่ปุ่นในโครงการแฟล็กชิพ “อัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร-ท่าพระ” มูลค่า 2,400 ล้านบาท ร่วมทุนกับกลุ่มบิวตี้เจมส์ เพื่อพัฒนาโครงการ วัน อัลติจูด เรสซิเด้นซ์ เป็นต้น

นอกจากนี้บริษัทยังใช้การตลาดในรูปแบบ “การตลาดแบบคนรู้ใจ “ คือการพัฒนาโครงการที่มีการใส่ใจรายละเอียดและความต้องการของผู้จะอยู่ให้ตรงใจ รวมทั้งมีการใช้ ครีเอทีฟดาต้า ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้บริษัทเข้าใจความต้องการของผู้ซื้อ ลงลึกถึงนิสัยผู้ซื้อได้และด้วยการตลาดในรูปแบบนี้ทำให้โครงการของบริษัทได้รับความสนใจ เช่นโครงการ เช่นโครงการอัลติจุด ยูนิคอร์น ที่เปิดมา 5-6 เดือนมียอดขายเข้ามากว่า 60% แล้ว