posttoday

เอส โฮเทล กับเดิมพัน ปี 63 ต้องมีกำไร

11 ธันวาคม 2562

หุ้น SHR ในเครือสิงห์ เอสเตท ราคาต่ำกว่าไอพีโอเกือบ 26 % ผลประกอบยังขาดทุน ถามว่าทำไมถึงกล้าเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกซบเซา กำลังซื้อหดหาย และมีผลกระทบถึงการท่องเที่ยว

หุ้น SHR ในเครือสิงห์ เอสเตท ราคาต่ำกว่าไอพีโอเกือบ 26 % ผลประกอบยังขาดทุน ถามว่าทำไมถึงกล้าเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกซบเซา กำลังซื้อหดหาย และมีผลกระทบถึงการท่องเที่ยว

เรื่องโดย พูลศรี เจริญ

..........................................................

ในภาวะที่ตลาดหุ้นซบเซา ทำนักลงทุนหุ้นไอพีโอเจ็บถ้วนหน้า สำหรับบางคนอาจคิดถึงขั้นที่ว่าเป็น"ทุกขลาภ"

เช่นเดียวกับบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ในเครือ สิงห์ เอสเตท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2562 ด้วยเกณฑ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) จนถึงขณะนี้ราคาหุ้นยังเคลื่อนไหวต่ำกว่าราคาที่ออกและเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ ) โดยวันที่ 11 ธ.ค.ราคาปิดตลาดที่ 3.86 บาท (ราคาไอพี 5.20 บาท/หุ้น) หรือต่ำกว่าราคาไอพีโอถึง 25.77 %

เกณฑ์มาร์เก็ตแคป ก็หมายถึง บริษัทนั้น ๆมีผลขาดทุน ขณะที่ทำไอพีโอ และกรณีของ SHR ถามว่าทำไมถึงกล้าเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกซบเซา กำลังซื้อหดหาย และมีผลกระทบถึงการท่องเที่ยว

สิ่งที่ SHR ย้ำล่าสุด (11 ธ.ค.62) ในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน นั่นก็คือ "การพลิกกลับมามีกำไร" และแผนธุรกิจที่ยังมีเข็มทิศชัดเจน คือ การมีโรงแรมในเครือ 80 แห่งภายในปี 2568 จากปัจจุบันที่มีโรงแรมทั้งสิ้น 39 แห่ง นั่นก็หมายความว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 41 แห่ง ภายใน 5 ปี นับจากปี 2563

เอส โฮเทล กับเดิมพัน ปี 63 ต้องมีกำไร ชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์

นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์ผลประกอบการจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิในปี 2563 หลังจาก 9 เดือนแรกของปีนี้ยังมีผลขาดทุน 299 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้บริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้นจากการนำเงินไอพีโอไปชำระคืนหนี้ส่งผลทำให้ต้นทุนทางการเงินปรับลดลง ซึ่งหากกลับมามีกำไรทางบัญชีบริษัทก็มีแผนจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นตามนโยบายไม่น้อยกว่า 40% ทันที

"บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 63 เติบโต 60% โดยรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากโรงแรม Crossroads จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม ซาย ลากูน มัลดีฟส์ คูริโอ คอลเล็กชั่น บาย ฮิลตัน และโรงแรม ฮาร์ดร็อค โฮเทล มัลดีฟส์ ที่จะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปี และยังมีแผนปรับเพิ่มราคาห้องพักเฉลี่ยในปี 63 เป็นประมาณ 400 ดอลลาร์สหรัฐต่อคืน และประมาณ 400-500 ดอลลาร์สหรัฐต่อคืน ตามลำดับ ทำให้คาดว่าสัดส่วนรายได้จากโรงแรมทั้งสองแห่งจะอยู่ที่ราว 30-40% ของรายได้รวม" มือการเงินของเอส โฮเทล กล่าว

ขณะเดียวกัน ได้เพิ่มช่องทางการขายห้องพักผ่าน Online Travel Agents และในปีหน้าก็จะเริ่มขายผ่าน wholesale เพิ่มเติมด้วย

นอกจากนี้ เอส โฮเทล ยังอยู่ระหว่างปรับปรุงโรงแรม เอาท์ทริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต บีชรีสอร์ท โดยเพิ่มจำนวนห้องพักอีก 25 ห้อง และสร้างหอประชุมด้านหลังโรงแรมเพิ่มเติม ซึ่งจะสามารถรองรับจำนวนผู้เข้าใช้บริการได้ราว 350 คน และคาดจะมีการจัดประชุมหรืองานกิจกรรม (อีเว้นท์) ประมาณ 20-30 งานต่อปี คาดว่าจะเล้วเสร็จได้ในปี 2563 รวมถึงปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงแรม เอาท์ริกเกอร์ ฟีจี บีช รีสอร์ท ประเทศฟีจี และปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงแรม เอาต์ทริกเกอร์ โคนอตตา มัลดีฟส์ รีสอร์ต และเพิ่มจำนวนห้องพักอีก 20 ห้อง

ปี 2563 เอส โฮเทล ยังมีแผนพัฒนาโรงแรมแบบ High-end lifestyle resort บนเกาะ 3 ของโครงการ Crossroads กับบริษัท Eco World Development กลุ่มธุรกิจใหญ่ (Conglomerate Business) จากประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนโดยมีสัดส่วนการถือหุ้นฝ่ายละ 50:50 โดยเบื้องต้นคาดใช้เงินลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 2565

อีกกลยุทธ์ ที่เอส โฮเทล จะทำนั่นก็คือ การเดินทางลัดเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายตามที่ปักหมุดไว้ ซึ่งชัยรัตน์ ย้ำว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรเพื่อเข้าซื้อกิจการโรงแรมในประเทศที่เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยว คาดว่าใช้งบลงทุน 4,000-6,000 ล้านบาท และคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนไม่น้อยกว่า 12% ภายใต้เป้าหมายการซื้อกิจการ 7-8 แห่งต่อปี เพื่อเพิ่มจำนวนโรงแรมในเครือเป็น 80 แห่งภายในปี 2568 จากปัจจุบันมีโรงแรมอยู่ทั้งสิ้น 39 แห่ง

การที่ เอส โฮเทล กล้าทุ่มเงินเพื่อเดินทางลัด ก็เพราะหลังเข้าตลาดหุ้นบริษัทมีคลังกระสุนพร้อม โดยมือการเงินของบริษัทแห่งนี้อธิบายว่า บริษัทมีความสามารถในการกู้ยืมได้เพิ่มได้อีก 10,000-20,000 ล้านบาท