posttoday

โอสถสภา ปักหมุดเมียนมา ตั้งโรงงานผลิดขวดแก้ว 1,214 ล้านบาท

14 พฤศจิกายน 2562

ไตรมาส 3 ฝ่าเศรษฐกิจซบ กำไรเพิ่ม 8.5 % แบรนด์เอ็ม-150 ยังเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งตลาด 37%

ไตรมาส 3 ฝ่าเศรษฐกิจซบ กำไรเพิ่ม 8.5 % แบรนด์เอ็ม-150 ยังเป็นผู้นำตลาด ด้วยส่วนแบ่งถึง 37%

บริษัท โอสถสภา ( OSP) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ มีมติอนุมัติการลงทุนในบริษัท เมียนมาร์ โกลเด้น อีเกิ้ล (MGE) และบริษัท เมียนมาร์ โกลเด้น กลาส (MGG) (รวมเรียก MGE Group) ในประเทศเมียนมา วงเงินไม่เกิน 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดย MGE จะประกอบธุรกิจโรงงานผลิดขวดแก้ว และ MGG จะประกอบธุรกิจจำหน่ายขวดแก้วในเมียนมา ทั้งนี้ การลงทุนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายธุรกิจต่างประเทศของบริษัทฯ การลงทุนของโครงการนี้ จะมีมูลค่ารวมประมาณ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,214 ล้านบาท

นายเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท โอสถสภา เปิดเผยผลงานในไตรมาส 3/62 ยังรักษาอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิมูลค่า 838 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.5% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

ส่งผลให้กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2,436 ล้านบาท จากความสำเร็จของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ยังรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่งไว้ที่ 53.5% ตามเป้า อีกทั้งยังเป็นผู้นำตลาดในส่วนเครื่องดื่ม Functional Drinks จากความสำเร็จของเครื่องดื่มซี-วิต และเปปทีน ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ

ในไตรมาส 3/62 นั้น บริษัทฯ ยังคงเป็นผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังและเครื่องดื่ม Functional Drinks โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมีการเติบโตในสินค้ากลุ่มหลักทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสินค้าหลักอย่าง เอ็ม-150 เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่มีส่วนผสมของสมุนไพรอย่าง โสมอินซัม รวมทั้งกลุ่มเครื่องดื่ม Functional Drinks ที่ได้รับความนิยมอย่างเครื่องดื่มซี-วิต โดยแบรนด์เอ็ม-150 ยังครองสถานภาพการเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งถึง 37%

ขณะที่มั่นใจไตรมาสสุดท้ายจะยังรักษาการเติบโตของผลการดำเนินงานที่ดีจากแผนการออกสินค้าใหม่ กลยุทธ์ควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดโรงงานใหม่ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมขยายตลาดเข้าสู่ประเทศเวียดนามและการลงทุนในโรงงานผลิตขวดแก้วในประเทศเมียนมาที่คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2564