posttoday

สรรพากรรีแบรนด์"เปลี่ยนยักษ์ เป็นยิ้ม"เป็นมิตรรีดภาษี

05 พฤศจิกายน 2562

ใครที่มีรายได้ เมื่อได้ยินชื่อกรมสรรพากร คงหนาวสะท้านไปหมด เพราะคิดว่ากำลังถูกไล่จับไล่ต้อนถูกกรมสรรพากรรีดภาษีจนหมดเนื้อหมดตัว

ใครที่มีรายได้ เมื่อได้ยินชื่อกรมสรรพากร คงหนาวสะท้านไปหมด เพราะคิดว่ากำลังถูกไล่จับไล่ต้อนถูกกรมสรรพากรรีดภาษีจนหมดเนื้อหมดตัว

***********************************

โดย...เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง

ภาพลักษณ์ของกรมสรรพากร ที่ผ่านมาจึงถูกขนานนามไปต่างๆ นานา ตั้งแต่ กรมสรรพากรรีดเลือดกับปูบ้าง กรมสรรพากรถอนขนห่านบ้าง หรือ กรมสรรพากรไปนั่งนับชามก๋วยเตี๋ยว จานข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง เพื่อเก็บภาษีจากผู้ค้าขายรายเล็กรายย่อยหาบเร่แผงลอยบ้าง เป็นต้น

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม กรมสรรพากร ถือเป็นหน่วยงานที่เก็บรายได้ที่ สำคัญที่สุดของประเทศ ปีงบประมาณ 2562 ที่ผ่านมา กรมสรรพากร เก็บภาษีได้ 2 ล้านล้านบาท คิดเป็น 90% ของรายได้ภาษีทั้งหมด เมื่อรวมการเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร และเก็บรายได้เป็น 80% ของหน่วยงานเก็บรายได้ทั้งหมดของประเทศ

จะเห็นว่า การเก็บภาษีของกรมสรรพากรมีความสำคัญกับรายได้ ประเทศอย่างมาก หากการเก็บภาษีของกรมสรรพากรมีปัญหา รายได้ของประเทศก็จะรวนไปด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะถูกมองเป็นยักษ์เป็นมารใจร้ายอย่างไร หน้าที่ของกรมสรรพากรก็ต้องเดินหน้าเก็บภาษีกันต่อไป

นอกจากนี้ กรมสรรพากร ก็เหมือนกับองค์กรอื่นๆ ที่ต้องมีการปรับตัวไม่สามารถอยู่นิ่งทำงานแบบเดิมได้ตลอดไป การถูกมองไม่เป็นมิตรไม่เป็นประโยชน์กับการเก็บภาษีของกรมสรรพากร การใช้ไม้แข็งไล่รีดไล่จับรีดเงินภาษีไม่ได้หมายความว่าจะได้เงินภาษีเข้าประเทศมากขึ้นเสมอไป

ในยุคที่เศรษฐกิจและเทคโนโลยีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การเก็บภาษีของกรมสรรพากรได้รับผลกระทบ และต้องปรับตัว ปรับทัศนคติ และปรับปรุงเทคโนโลยีกระบวนการเก็บภาษีกันขนานใหญ่ เพื่อให้เก็บภาษี เป็นมิตรเป็นธรรมกับผู้เสียภาษีมากขึ้น

"ในปีนี้กรมสรรพากรจะทำการรีแบรนด์องค์กรครั้งใหญ่ ทั้งเรื่องการกระบวนการทำงานและภาพลักษณ์ขององค์กร เพื่อให้การเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย 2.11 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นหมายหมายที่สูง" เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าว

ปีที่ผ่านมา กรมสรรพการได้ทำการยกเครื่ององค์กร โดยการนำเทคโนโลยีเรื่องบิ๊กดาต้าเพื่อมาทำการวิเคราะห์การเก็บภาษี ให้ตรงเป้า ตรงกลุ่ม ตรงใจผู้เสียภาษีมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนภาพลักษณ์ของกรมสรรพากรด้วยการ "เปลี่ยนยักษ์ เป็นยิ้ม" ซึ่งทำให้การเก็บภาษีของกรมสรรพากรดีขึ้น โดยการเก็บภาษีในปีงบประมาณ 2562 ที่มีเป้าหมาย 2 ล้านล้านบาท เก็บได้เกินเป้าหมาย 9,310 ล้านบาท เป็นการเกินเป้าหมายครั้งแรกนับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2555

อย่างไรก็ตาม การยกเครื่องที่ผ่านมา ยังมีไม่สามารถทำให้ผู้เสียภาษีเข้ามาในระบบได้ทั้งหมด กรมสรรพากรจึงต้องการรีแบรนด์ใหญ่ให้มากขึ้นไปอีก เพื่อให้ "เปลี่ยนยักษ์ เป็นยิ้ม" ให้ได้อย่างแท้จริง โดยมีเป้าหมายการทำงาน 4 เรื่องที่สำคัญ ได้แก่ ยึดผู้เสียภาษีเป็นศูนย์กลาง พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง การทำงานที่เน้นผลลัพธ์ และการทำงานเป็นทีม

การรีแบรนด์ของกรมสรรพากรจะถึงเป้าหมายหรือไม่วัดได้ไม่ยาก โดยดูจากการขยายฐานภาษีเป็นตัวสำคัญ ในปีงบประมาณ 2561 มีจำนวน 10 ล้านคน เพิ่มเป็น 11.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10% คนเข้าระบบภาษีมากขึ้น แต่อย่างมีอีกจำนวนมากที่ยังไม่เข้าในระบบภาษี กรมสรรพากรมองว่ามีคนมีรายได้ต้องยื่นแบบ 14 ล้านคน การดึงคนที่อยู่นอกระบบ 3-4 ล้านคน ให้เข้ามาเสียภาษีให้ถูกต้อง จึงเป็นโจทย์ใหญ่เรื่องยากที่กรมสรรพากรต้องทำให้ได้มากที่สุด

นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังมีความท้าทายขยายฐานการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ตอนนี้มีผู้จะทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ 6 แสนราย มีผู้เสียภาษี 4.6 แสนราย มีอีกกว่า 1 แสนรายที่อยู่นอกระบบภาษี เป็นอีกหนึ่งโจทยฺที่กรมสรรพากรต้องเร่งแก้ให้ตก

อีกความท้าทายของกรมสรรพากร คือ การทำธุรกิจที่เปลี่ยนไปบนโลกออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติที่ไม่ได้จดทะเบียนในไทย แต่ทำธุรกิจบนโลกออนไลน์มีรายได้เกิดขึ้นในไทย ทำให้ประเทศสูญเงินภาษีไปจำนวนมาก การพลักดัน พ.ร.บ.อี บิซิเนส เพื่อเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายสินค้าและบริการในโลกออนไลน์ของบริษัทข้ามชาติ เป็นอีกเรื่องที่จะทำให้การเก็บภาษีของกรมสรรพากรได้เพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบัน พ.ร.บ.อี บิซิเนส อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา นอกจากกรมสรรพากรจะออกแรงเร่งพลักดันแล้ว รัฐบาลก็ต้องแสดงความจริงใจในการช่วยกรมสรรพากรเร่งออกกฎหมายดังกล่าวด้วย เพราะกฎหมายนี้เสนอมาตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อน แต่ล่าช้าเพราะรัฐบาลกลัวกระทบผู้ประกอบการค้าขายออนไลน์ข้ามชาติชาติยักษ์ใหญ่ จนมาตีรวนการทำงานของรัฐบาลในเรื่องอื่นๆ เพื่อเป็นการตอบโต้เอาคืน

การยกเครื่อง รีแบรนด์ใหญ่ของกรมสรรพากร ด้วยการเปลี่ยนภาพลักษณ์จากยักษ์ใจร้าย เป็นยักษ์ยิ้ม เป็นมิตรกับผู้เสียภาษีเป็นเรื่องดีและมาถูกทาง แต่การเป็นยักษ์ยิ้มก็ต้องมีตะบองวิเศษ กฎหมายที่ทันกับการทำธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง เพื่ออุดรูรั่วไหลและทำให้การเก็บภาษีของกรมสรรพากรที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยได้ตามเป้าหมายทุกปี

ดังนั้นการยกเครื่องรีแบรนด์ใหญ่ของกรมสรรพากร จะทำให้การเก็บภาษีประสบความสำเร็จเหมือนปีที่ผ่านมาหรือไม่ เป็นเรื่องพิสูจน์ฝีมือของอธิบดีกรมสรรพากรหนุ่มไฟแรงอย่าง "เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ"