posttoday

ไทยยูเนี่ยน ไตรมาส 3 ยอดขายลด 6.8 %

05 พฤศจิกายน 2562

ได้รับผลกระทบเงินบาทแข็งค่า แม้ปริมาณขายเติบโต มาร์จิ้นดีขึ้นช่วยประคองกำไรใกล้เคียงงวดปีก่อน

ได้รับผลกระทบเงินบาทแข็งค่า แม้ปริมาณขายเติบโต มาร์จิ้นดีขึ้นช่วยประคองกำไรใกล้เคียงงวดปีก่อน

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/62 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 1,374 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.88 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 1,310 ล้านบาท

ยอดขายลดลง 6.8% มาที่ 31,838 ล้านบาท เป็นผลจากกค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่น แต่หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ยอดขายประจำไตรมาสลดลง 1.3 % แต่ปริมาณการขายของบริษัทยังเข้มแข็งและเติบโต 3.8% จากธุรกิจอาหารทะเลแช่เยือกแข็งและแช่เย็นและผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า

กำไรขั้นต้นไตรมาส 3 อยู่ที่ 5,077 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 15.9 % (ช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่อัตรา 15.8 %)

ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 4,200 ล้านบาท และความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของค่าเงิน

ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2562 ยอดขายจากทวีปอเมริกาเหนือมีสัดส่วนถึง 38 % ยอดขายจากทวีปยุโรป 31 % ยอดขายจากประเทศไทย 13 % และตลาดอื่นๆ 18 %

ด้านสัดส่วนของยอดขายในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ เป็นสินค้าแบรนด์ของบริษัท 42 % เพิ่มขึ้น 1 % จากปีก่อนหน้า และที่เหลือ 58 % เป็นการผลิตสินค้าให้กับลูกค้าบริษัทต่างๆ

ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปมียอดขายอยู่ที่ 14,466 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าเนื่องจากราคาทูน่าที่ลดลง 17 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 และค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในการค้าของโลก

ส่วนธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและแช่เย็นมีปริมาณการขายอยู่ที่ 73,084 ตันในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นถึง 15.2 % อย่างไรก็ดี ด้วยราคาของกุ้งที่ลดลง 9.5 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ยอดขายของธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและแช่เย็นลดลง 2 % อยู่ที่ 12,768 ล้านบาท แต่อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น ในขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 6.9 % อยู่ที่ 4,604 ล้านบาท อีกทั้งปริมาณการขายยังเติบโตขึ้นอีก 2.6 %