posttoday

หุ้นไทยติดอันดับ 2 ของโลก จำนวนบจ.ผู้นำด้านความยั่งยืน

01 ตุลาคม 2562

เปิดโผ 20 หลักทรัพย์ ให้ผลตอบแทน 370% หรือเฉลี่ย 24% ต่อปี สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ

เปิดโผ 20 หลักทรัพย์ ให้ผลตอบแทน 370% หรือเฉลี่ย 24% ต่อปี สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ

น.ส. ปฐมาภรณ์ นิธิชัย ฝ่ายวิจัยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ทำสถิติใหม่ หลังการประกาศรายชื่อบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกที่เป็นองค์ประกอบใน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย.2562 โดยมีจำนวน 7 บริษัทที่ได้คะแนนสูงสุดหรือเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนของกลุ่มอุตสาหกรรม จากการประเมินบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกใน 60 อุตสาหกรรม ส่งผลให้ประเทศไทยมีจำนวนบจ.ที่เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนของโลกมากเป็นอันดับ 2 ของโลก

ทั้งนี้ บจ.ไทย ที่เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนใน 7 อุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นจาก 5 อุตสาหกรรมในปีก่อน โดย CPALLและ PTTGC เป็นบจ.ไทยที่ขึ้นเป็นผู้นำของกลุ่มเป็นปีแรก ในขณะที่ PTTEP ขึ้นเป็นผู้นำของกลุ่มแทน PTT และ TOP ขึ้นเป็นผู้นำของกลุ่มแทน IRPC ในปีก่อน

นอกจาก 7 บริษัทผู้นำด้านความยั่งยืนแล้ว บจ.ไทยอีก 13 บริษัทยังคงได้รับคัดเลือกให้เป็นองค์ประกอบใน DJSIได้แก่ ADVANC AOT BTS CPF CPN
HMPRO IRPC IVL KBANK MINT PTT SCB SCC

หากพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นของบจ.ทั้ง 20 บริษัทที่เป็นองค์ประกอบใน DJSI ในปี 2562 จะพบว่า ในระยะยาวการลงทุนในหุ้นที่มีความโดดเด่นด้านดำเนินกิจการโดยให้ความสำคัญและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG)ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) อย่างชัดเจน

ทั้งนี้ ในช่วงประมาณ 15 ปี (สิ้นปี 2547 - 20 ก.ย. 2562) พอร์ตจำลองที่ประกอบด้วย 20 หลักทรัพย์ดังกล่าวซึ่งคำนวณถ่วงน้ำหนักมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดให้ผลตอบแทน 370% หรือเฉลี่ย 24% ต่อปี ซึ่งสูงกว่า SET Index ที่ให้ผลตอบแทน 274% หรือ 18% ต่อปี

การได้รับคัดเลือกให้เป็นองค์ประกอบใน DJSI แสดงให้เห็นว่าบริษัทดำเนินกิจการโดยให้ความสำคัญและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ซึ่งต้องบ่มเพาะในช่วงระยะเวลาหนึ่งจึงจะเห็นผลดีโดยตรงต่อผลประกอบการ

หุ้นไทยติดอันดับ 2 ของโลก จำนวนบจ.ผู้นำด้านความยั่งยืน