posttoday

คลังแจงหนี้ครัวเรือนไทยสูงไม่น่าเป็นห่วง

04 กันยายน 2562

คลังเห็นต่าง สศช. แจงหนี้ครัวเรือนยังไม่น่ากังวล เร่งให้ความรู้การเงินแก่ประชาชน ใช้จ่ายให้เหมาะสม

คลังเห็นต่าง สศช. แจงหนี้ครัวเรือนยังไม่น่ากังวล เร่งให้ความรู้การเงินแก่ประชาชน ใช้จ่ายให้เหมาะสม

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า หนี้ครัวเรือนของประเทศไทย ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2562 อยู่ที่ 12.97 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 78.7% ต่อจีดีพี โดยหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ 42.8% และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 28.4% และหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันและมีวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อสินทรัพย์ เช่น อสังหาริมทรัพย์ 29.2% รถยนต์และรถจักรยานยนต์ 15.4%

นอกจากนี้ ยังมีสินเชื่อเพื่อการดำเนินธุรกิจ 16.4% สหกรณ์ 15.6% และสินเชื่ออื่นๆ 17.1% ทั้งนี้ หากไม่รวมหนี้ที่ครัวเรือนกู้ยืมไปเพื่อทำธุรกิจ หนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาส 1 ปี 2562 จะอยู่ที่ 10.84 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 65.8% ต่อจีดีพี

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าระดับหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2562 ของไทยจะอยู่ในระดับสูง แต่ถือได้ว่าลดลงเมื่อเทียบกับระดับหนี้ครัวเรือนที่เคยสูงสุดที่ 81.2% ต่อจีดีพี เมื่อปี 2558 กระทรวงการคลังประเมินว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังไม่เป็นประเด็นที่น่ากังวล เนื่องจาก

1. หนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่มีสินทรัพย์เป็นหลักประกัน เช่น ที่พักอาศัย รถยนต์ ซึ่งหากมองว่าหนี้เหล่านี้เป็นไปเพื่อการสะสมความมั่งคั่งในรูปสินทรัพย์และเพื่อการลงทุนทําธุรกิจหารายได้แล้ว ก็จะส่งผลดีต่อความมั่นคงทางทรัพย์สินและรายได้ของครัวเรือนด้วย

2. หนี้ครัวเรือนบางส่วนใช้เพื่อประกอบธุรกิจของครัวเรือน ซึ่งถือเป็นสินเชื่อที่สร้างรายได้ให้ครัวเรือน โดยเมื่อหักสินเชื่อธุรกิจนี้ออก ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยจะลดลงอยู่ที่ 65.8% ของจีดีพี

3. สัดส่วนหนี้ครัวเรือนเพื่อการบริโภค เช่น สินเชื่อบุคคล และบัตรเครดิต อยู่ในระดับต่ำเพียง 6.3% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด

4. สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ของหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับที่ต่ำที่ 3.3% ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2562

อย่างไรก็ตาม สศค. ได้ติดตามประเมินสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยอย่างใกล้ชิด เพราะหากหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นสูงมากเกินไปอาจจะส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของระดับครัวเรือน และเสถียรภาพของเศรษฐกิจได้

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะให้ความสำคัญในการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน และใช้จ่ายให้เหมาะสมกับตนเองอย่างจริงจังและทั่วถึง ปัจจุบัน ธนาคารออมสินได้ดำเนินโครงการเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการบริหารการเงิน การออม และบัญชีพอเพียง ผ่านโครงการการออมและการบริหารหนี้ที่สมดุลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีมีสุข และโครงการสำหรับเด็กและเยาวชนในโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ผ่านโครงการธนาคารโรงเรียน

ขณะที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีโครงการให้ความรู้ทางการเงินแก่เกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศผ่านโครงการสร้างสังคมแห่งปัญญาผ่านศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ธ.ก.ส. ซึ่งมีหลักสูตรการทำบัญชีครัวเรือน การสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการดำรงชีพ การออม การชำระหนี้ ความรู้ในการประกอบอาชีพที่เหมาะสม การดำเนินโครงการธนาคารโรงเรียน นอกจากนี้ จะให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเข้ามามีบทบาทในการดูแลการปรับโครงสร้างหนี้มากขึ้น

ทั้งนี้เมื่อต้นสัปดาห์สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้แถลงภาวะเศรษฐกิจทางสังคมและได้เป็นห่วงหนี้ครัวเรือนไทยที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องไตรมาส 1 ปี 2562 หนี้สินครัวเรือนเท่ากับ 13 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% และคิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพี เท่ากับ 78.7% สูงสุดในรอบ 9 ไตรมาส หรือกว่า 2 ปี นับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2560

สำหรับไตรมาส 2 ปี 2562 แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของหนี้สินครัวเรือนยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะภาพรวมสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์เพื่อการอุปโภค บริโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นในระดับสูง 9.2% โดยยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ขยายตัว 11.3% สูงสุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2558 เป็นต้นมา

ส่วนยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และรถยนต์ขยายตัว 7.8% และ 10.2% ชะลอลงจาก 9.1% และ 11.4% ในไตรมาสก่อน

ในภาพรวมสิน NPL เพื่อการอุปโภคบริโภคในไตรมาส 2 ปี 2562 มีมูลค่า 127,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 2.74% ต่อสินเชื่อรวม และ 2.75% ต่อ NPL รวม โดยยอดคงค้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสินเชื่อรถยนต์และบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง 32.3% และ 12.5%

เช่นเดียวกับสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และสินเชื่อบัตรเครดิตที่มียอดค้างชำระเกิน 3 เดือนขึ้นไปที่กลับมาขยายตัวอีกครั้ง