หวั่นไทยเกิดวิกฤตการลงทุน หลังนักลงทุนญี่ปุ่นส่งสัญญาณลบ
โพสต์ทูเดย์-ภาคเอกชนเริ่มวิตกกับสถานการณ์ลงทุนไทย หลังจากเจโทรเตือนปัญหามาบตาพุดจะส่งผลต่อการตัดสินใจของนักธุรกิจญี่ปุ่นและการสนับสนุนเงินกู้ในระยะต่อไป
โพสต์ทูเดย์-ภาคเอกชนเริ่มวิตกกับสถานการณ์ลงทุนไทย หลังจากเจโทรเตือนปัญหามาบตาพุดจะส่งผลต่อการตัดสินใจของนักธุรกิจญี่ปุ่นและการสนับสนุนเงินกู้ในระยะต่อไป
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท อมตะคอร์ปอเรชั่น กล่าวถึงกรณีประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น(เจโทร) ระบุว่าไทยไม่โดดเด่นในสายตานักลงทุนว่า หากนักลงทุนญี่ปุ่นออกมาแสดงความเห็นแบบนี้ คือ วิกฤตของการลงทุนไทย เนื่องจากการลงทุนของต่างชาติส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งหากมีการชะลอการลงทุนจะส่งผลกระทบกับประเทศแน่นอน สิ่งที่รัฐบาลต้องกล้าทำคือการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว เพราะหากดำเนินการล่าช้าจะทำให้เกิดความเสียหาย
"กลุ่มอมตะได้รับผลกระทบจากปัญหามาบตาพุดเช่นกัน โดยเฉพาะโรงงานในนิคมฯที่ต้องสั่งวัตถุดิบจากโรงงานที่อยู่ในมาบตาพุดซึ่งถูกระงับกิจการ รวมทั้งโรงงานใหม่ที่กำลังตัดสินใจจะลงทุนก็ต้องชะลอการตัดสินใจออกไปก่อน เมื่อเจอปัญหามาบตาพุด ซึ่งผลกระทบแค่นี้ก็หนักพอแล้วที่จะทำให้นักลงทุนหนีไปลงทุนที่อื่น และถ้ามีการย้ายไปลงทุนที่อื่นแล้วก็ยากที่จะดึงกลับมา ซึ่งไม่ง่ายเหมือนกับการขายขนมครก” นายวิบูลย์ กล่าว
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กล่าวว่า การแสดงความเห็นของญี่ปุ่นเป็นการส่งสัญญาณถึงความไม่สบายใจกับปัญหามาบตาพุดที่เกิดขึ้น แต่ยังเชื่อว่าญี่ปุ่นจะไม่ย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นแน่นอน แต่ถ้าเป็นการลงทุนใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้ามาคงต้องมีการตัดสินใจกันอีกครั้ง โดยรอการแก้ไขปัญหาให้เห็นชัดเจนก่อน
อย่างไรก็ตามภาครัฐควรมีการชี้แจงให้นักลงทุนทราบถึงความคืบหน้าของกระบวนการทำงานแก้ปัญหาให้มากกว่า เพราะนักลงทุนต่างชาติไม่ทราบว่าขณะนี้รัฐบาลไทยทำอะไรไปแล้วบ้าง ทำให้เกิดความสงสัยในข้อมูล ดังนั้นกระทรวงอุตสาหกรรมควรมีการเชิญนักลงทุนต่างชาติมาให้ข้อมูลในเรื่องดังกล่าวเป็นระยะๆ ไม่งั้นจะทำให้เสียกำลังใจในการทำธุรกิจ
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คงต้องรับความจริงที่นักลงทุนญี่ปุ่นออกมาพูดเช่นนี้ เพราะ 20-30 ปีที่ผ่านเป็นกลุ่มนักลงทุนที่เคยมั่นใจการลงทุนในไทยมานาน แต่เมื่อเจอกับปัญหามาบตาพุดทำให้เกิดความกังวล เพราะเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ ในขณะที่ได้ทำตามกติกาด้านการลงทุนมาโดยตลอด กลับต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ รัฐบาลต้องแก้ปัญหาให้จบโดยเร็วอย่าปล่อยให้ยืดเยื้อนาน 6 เดือนถึง 1 ปี ควรสรุปทางออกให้ได้ภายใน 3-4 เดือน อย่างไรก็ตามกลไกการทำงานของคณะกรรมการ4ฝ่ายฯมาถูกทางแล้ว เพียงแต่รอ รายละเอียดของกรอบการทำงานให้ชัดเจนมากว่านี้
รายงานข่าวจากกระทรวงอุตสาหกรรม เพิ่มเติมว่า สถิติการลงทุนจากญี่ปุ่นในไทยยังครองเป็นอันดับ 1 โดยแต่ละปีมีมูลค่าการงทุนเฉลี่ย 1 แสนล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50-60% ของการลงทุนตรงจากต่างประเทศ