posttoday

KTAMลุยขายตราสารหนี้รัสเซียต่อ

10 พฤศจิกายน 2553

บลจ.กรุงไทย เปิดขายกองทุนตราสารหนี้รัสเซียต่อเนื่อง ล่าสุด ส่งอายุ 2 ปี 5 เดือน ชูผลตอบแทน 3.30%

บลจ.กรุงไทย เปิดขายกองทุนตราสารหนี้รัสเซียต่อเนื่อง ล่าสุด ส่งอายุ 2 ปี 5 เดือน ชูผลตอบแทน 3.30%

นายสมชัย บุญนำศิริ  กรรมการผู้จัดการ  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  (บลจ.) กรุงไทย หรือ KTAM เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยรัสเซีย ฟิกซ์อินคัม 2 ตั้งแต่วันที่ 10-16 พ.ย.2553 มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท อายุ 2 ปี 5 เดือน จ่ายผลตอบแทนคืนอัตโนมัติทุก 3 เดือน มูลค่าเงินลงทุนขึ้นต่ำ 10,000 บาท

กองทุนจะนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่า 80% ของมุลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในเงินฝาก  ตราสารแห่งหนี้ทั่วไป ตามที่คณะกรรมการก.ล.ต.กำหนด

จุดเด่นของกองทุนนี้ คือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศรัสเซียที่มีฐานะการคลังและการเงินระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่ผู้กู้เป็นสถาบันการเงินหรือกิจการ ซึ่งภาครัฐของประเทศรัสเซียเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยกองทุนจะลงทุนผ่านตราสารประเภท  Loan  Participation  Note สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ  ซึ่งเป็นเครืองมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมของกิจการในรัสเซียเพื่อใช้ระดมเงินทุนจากต่างประเทศและตราสารที่ลงทุนได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกับผู้กู้เหล่านี้และระดับเดียวกับประเทศรัสเซียที่ BBB โดย S&P

สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุนลงทุนในสัดส่วนสถาบันละ 25 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน  ประกอบด้วย 1.Russian Agricultural Bank ซึ่งเป็นธนาคารภาครัฐเพื่อสนับสนุนภาคเกษตร โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือ (เรทติ้ง) ระดับ Baa1 โดยมูดี้ส์ 2.SBER Bank เป็นธนาคารขนาดใหญ่อันดับหนึ่งของรัสเซีย มีเรทติ้ง Baa1 และ 3.Gazprom เป็นกิจการพลังงานครอบครองก๊าซธรรมชาติคิดเป็น 17% ของโลก มีเรทติ้ง Baa1  และ 4.Transneft เป็นกิจการผูกขาดระบบขนส่งน้ำมันผ่านท่อรายใหญ่ที่สุดในรัสเซีย มีเรทติ้ง Baa1 โดยผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 3.30%  ต่อปี  พร้อมทั้งมีการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

นายสมชัย กล่าวว่า ผลพวงจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐประกาศจะใช้เม็ดเงินที่จะใช้ในโปรแกรม Quantitative Easing II ซึ่งเป็นปริมาณเงินใหม่ประมาณ 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2554 ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าที่ตลาดการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ไว้แต่เดิมที่ระดับ 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ  ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ ทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมาตรการดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มเติมสภาพคล่องเข้าสู่ระบบทางการเงิน

ขณะเดียวกันก็จะเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินของประเทศต่างๆ แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ จากผลของการเคลื่อนย้ายเงินลงทุน  ในส่วนของผลกระทบที่มีต่ออัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระหว่างประเทศก็มีแนวโน้มปรับลดลงเช่นกัน เนื่องจากมีความต้องการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตราสารหนี้รัฐวิสากิจและเอกชน ทำให้ Credit Spread ปรับแคบลงค่อนข้างมาก

อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนไทยที่จะไปลงทุนในต่างประเทศในสถานการณ์ปัจจุบัน ยังได้ประโยชน์จากต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ปรับลดลง เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมเหรียญสหรัฐฯ ในตลาดสวอปปรับลดลง  ดังนั้น จึงทำให้ผลตอบแทนสุทธิจากการลงทุนในตราสารต่างประเทศปรับลดลงไม่มาก เมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ