posttoday

ครม.ไฟเขียวปรับเพิ่มเงินเดือน3แบงก์รัฐ "ธ.ก.ส.-ธอส.-ออมสิน"

05 กุมภาพันธ์ 2562

ครม.เห็นชอบปรับเพิ่มเงินเดือนพนักงานธนาคารออมสิน-ธ.ก.ส.-ธอส. แต่ไม่เกิน 1% ของฐานเงินเดือนพนักงาน

ครม.เห็นชอบปรับเพิ่มเงินเดือนพนักงานธนาคารออมสิน-ธ.ก.ส.-ธอส. แต่ไม่เกิน 1% ของฐานเงินเดือนพนักงาน

เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 62 นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการปรับเพิ่มเงินเดือนของพนักงานธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้ปรับเพิ่มเงินเดือนพนักงานที่ยังไม่ถึงอัตราขั้นต่ำของกระบอกเงินเดือนให้ได้รับในอัตราขั้นต่ำในลำดับแรก และปรับเพิ่มเงินเดือนเพื่อชดเชยพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการที่ได้รับการปรับเงินเดือนเข้าสู่ระดับขั้นต่ำ โดยให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจพิจารณาแนวทางการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบฯ ได้ตามแนวทางที่เหมาะสม รวมแล้วไม่เกิน 1% ของฐานเงินเดือนพนักงาน

ทั้งนี้ ให้ปรับเพิ่มได้เพียงครั้งเดียวตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครรส.) โดยการขอปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนและการขอปรับเพิ่มเงินเดือนในแต่ละครั้งจะต้องเว้นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปีขึ้นไป โดยมิให้นำเหตุแห่งการปรับเงินเดือนของข้าราชการมาเป็นประเด็นในการพิจารณา

กระทรวงการคลัง แจ้งว่า ภายหลังจากที่มีการปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนในครั้งนี้ ทั้ง 3 ธนาคารมีแผนจะใช้เงินรายได้ของตนเองเพื่อจ่ายเป็นค่าตอบแทนพนักงานที่เพิ่มขึ้น จึงไม่เป็นภาระงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเงินรายได้ดังกล่าวจะนำมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน ของพนักงานในการสร้างรายได้มาชดเชยและการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ โดยไม่ผลักภาระ ให้แก่ผู้ใช้บริการ

ด้านนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เปิดเผยถึงหลักการในการเพิ่มเงินเดือนและปรับโครงสร้าง 3 ธนาคารรัฐดังกล่าวว่า เนื่องจากทั้ง 3 ธนาคารมีการปรับขึ้นเงินเดือนครั้งสุดท้ายปี 2552, ปี 2554, ปี 2558 ซึ่ง ครม.เคยมีมติว่าถ้าจะปรับก็ให้ปรับเวลาเดียวกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหลื่อมล้ำกัน

ในส่วนของ ธ.ก.ส. และ ธอส.ให้ปรับในอัตรา 9,000-250,000 บาท ส่วนธนาคารออมสิน ให้ปรับในอัตรา 9,000-220,000 บาท

"ให้ปรับระดับผู้จัดการและพนักงานทั่วไปในกรณีที่เงินเดือนยังไม่ถึงขั้นต่ำก็ให้ปรับขึ้นไปให้ถึงขั้นต่ำ ส่วนใครที่ถึงขั้นต่ำแล้วให้บอร์ดพิจารณาตามความเหมาะสมแต่ไม่ให้เกิน 1% ของฐานเงินเดือนรวม"นายวิสุทธิ์ กล่าว