posttoday

กองทุนที่น่าจับตาในปี 2019

09 มกราคม 2562

สวัสดีปีใหม่ครับนักลงทุนทุกท่าน กลับมา พบกันกับผมหมอนัทอีกครั้งในคอลัมน์ Fund Clinic แห่งนี้เช่นเคยครับ ในปีที่แล้วผมได้มาเล่าถึงกลยุทธ์ต่างๆ

เรื่อง หมอนัท

สวัสดีปีใหม่ครับนักลงทุนทุกท่าน กลับมาพบกันกับผมหมอนัทอีกครั้งในคอลัมน์ Fund Clinic แห่งนี้เช่นเคยครับ ในปีที่แล้วผมได้มาเล่าถึงกลยุทธ์ต่างๆ มากมายในการลงทุนกับกองทุนรวม กองทุนอสังหาฯ รวมถึงกองทุน LTF/RMF ในช่วงปลายปี จนไปถึงเรื่องกองทุน ETF ที่กำลังได้รับความนิยมในต่างประเทศ และตบท้ายด้วยกองทุน RMF แบบผสมที่นักลงทุนหลายๆ คนได้ถามเข้ามาครับ

ถ้าหากใครที่ได้ลงทุนในปีที่ผ่านมา การลงทุนในกองทุนหุ้น ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะขาดทุนเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้เนื่องจากภาวะความไม่แน่นอนของสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีโอกาสกระทบต่อการลงทุนต่างๆ เช่น การขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และสงครามการค้าที่คอยกดดันไม่ให้ราคาของหุ้น หรือว่าสินทรัพย์ต่างๆ นั่นเองครับ

หากใครที่ลงทุนในกองทุนหุ้นเพียงอย่างเดียว ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่จะขาดทุนอยู่ราวๆ 10% แต่ถ้าใครที่ถือกองทุนหุ้นเล็ก อันนี้น่าจะเหนื่อยใจพอสมควร เพราะว่าบางกองทุนติดลบไปถึง 25-30% เลยทีเดียวครับ ทั้งนี้ก็เพราะว่าราคาหุ้นขนาดเล็ก และขนาดกลางหลายตัวนั้น ในปีที่ผ่านมามีราคาค่อนข้างจะสูงพอสมควร ดังนั้นเมื่อตลาดปรับฐานก็จะมีผลทำให้ราคาปรับลดลงได้เร็วและแรงครับ

ส่วนกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศเองก็เช่นกันครับ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นกลุ่มที่พัฒนาแล้ว (Develop Market) หรือตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ก็ล้วนแต่ขาดทุน ส่วนที่ได้ผลตอบแทนที่ดีมีน้อยมากครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะขาดทุนตั้งแต่ 7-8% จนไปถึง 25-30% เลยทีเดียวสำหรับกองทุนต่างประเทศ น่าจะพอๆ กับสถานการณ์ในประเทศไทยเลยครับ

ดังนั้น การลงทุนในกองทุนหุ้นก็จะมีความผันผวนพอสมควร ผมมักจะอธิบายเรื่องความผันผวนให้นักลงทุนได้ทราบอยู่เป็นประจำ แต่หลายๆ ท่านก็ยังนึกภาพไม่ออก ซึ่งผมคิดว่าปีที่ผ่านมาน่าจะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับนักลงทุนทีเดียวครับ (ได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น) ว่าการลงทุนนั้นจะต้องการขาดทุนเป็นเรื่องธรรมดา

แต่ถ้าหากนักลงทุนท่านไหนที่ได้ทำการ จัดสรรเงินลงทุน หรือ Asset Allocation นั้น ผมเชื่อว่าอัตราการขาดทุนน่าจะน้อยกว่าการลงทุนในกองทุนหุ้นเพียงอย่างเดียวครับ ยิ่งในปีที่ผ่านมากองทุนอสังหาฯ และโครงสร้างพื้นฐานนั้น โดยภาพรวมนั้นได้ให้ผลตอบแทนที่ดีพอสมควรเลยครับ อยู่ที่ประมาณ 8-12% ต่อปี โดยถ้าหากนักลงทุนท่านไหนได้ลงทุนกับกองทุนเหล่านี้บ้าง ผมเชื่อว่าในปีที่ผ่านมาน่าจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากมายจากที่ตลาดหุ้นไทยผันผวนครับ

จากสิ่งต่างๆ ที่ผมได้พูดถึงนี้ก็ยิ่งทำให้ผมเชื่อว่าการลงทุนที่ดี ควรที่จะมีการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และความผันผวนน้อยลงครับ

ส่วนกองทุนไหนบ้างที่น่าจะติดตามผลการลงทุนต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ซึ่งผมคิดว่ากองทุนที่น่าจับตามากๆ ว่า ปีนี้จะเป็นอย่างไรนั้นมี 5 ประเภท นั่นก็ได้แก่ 1.กองทุนตราสารหนี้ 2.กองทุนอสังหาฯ 3.กองทุนหุ้น Emerging Market 4.กองทุนในกลุ่ม Healthcare + Technology และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือ กองทุนหุ้นไทยนั่นเองครับ

โดยกองทุนที่ผมได้กล่าวมานั้น จะได้รับผลกระทบจากการที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากปีที่แล้วครับ กองทุนที่น่าจะได้ผลกระทบน่าจะเป็นกองทุนตราสารหนี้ และ กองทุนอสังหาฯ ส่วนแนวโน้มของสังคมผู้สูงอายุทั่วโลกนั้นจะทำให้กองทุน Healthcare + Tech นั้นปรับตัวสูงขึ้น และไปต่อได้มากน้อยแค่ไหนก็คงต้องติตตามกันครับ

ส่วนกองทุนหุ้นไทย + กลุ่มประเทศเกิดใหม่นั้น จากปีที่แล้วที่ติดลบกันไปอย่างมากมายนั้น เราคงต้องมาดูกันว่าจะกลับขึ้นมาได้หรือไม่ครับ ซึ่งจากที่ได้พูดคุยกับทาง Fund Manager หลายๆ ท่าน ส่วนใหญ่จะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ปีนี้เป็นปีที่ยากสำหรับการลงทุนในหุ้นไทย และกลุ่มตลาดเกิดใหม่อีกปี และน่าจะยากกว่าปีที่แล้วเสียอีกครับ ผมขอแนะนำว่านักลงทุนคงต้องหา กองทุน และช่องการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย

ผมจึงคิดว่าในปีนี้บทความของผมจะมาเล่าถึงกองทุนใหม่ๆ เช่น กองทุนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น อย่างกองทุน Complex Return Hedge Fund กองทุนน้ำมันฯ ฯลฯ เผื่อว่าเป็นทางเลือกใหักับนักลงทุนมือเก๋า และมือใหม่ที่สนใจอยากจะลงทุนกับกองทุนเหล่านี้ดูบ้างครับ ซึ่งก็น่าจะช่วยให้การลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง ณ ขณะนี้ได้ นักลงทุนท่านไหนสนใจ ก็สามารถติดตามกันได้เลยครับ

น่าเสียดายจริงๆ ครับ ในครั้งนี้ผมหมดเวลาเสียแล้ว ส่วนวันนี้ผมขอลาไปก่อน และพบกันในเดือนหน้า ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุนในปี 2019 นี้นะครับ สวัสดีครับ