posttoday

คลังไฟเขียวออกบาทบอนด์

29 ธันวาคม 2561

กระทรวงการคลังประเดิมปี 2562 ไฟเขียวโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาท

กระทรวงการคลังประเดิมปี 2562 ไฟเขียวโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาท

นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า การพิจารณาอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย รอบที่ 1/2562 ในช่วงวันที่ 1 ม.ค.-30 ก.ย. 2562 กระทรวงการคลังได้อนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศ จำนวน 1 ราย ได้แก่ Nam Ngum 2 Power Company Limited (NN2PC) หรือบริษัทไฟฟ้า น้ำงึม 2 ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทยได้ ภายในวันที่ 30 ก.ย. 2562 โดยมีเงื่อนไขให้ใช้เงินที่ได้รับจากการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทได้ตามที่กระทรวงการคลังกำหนด

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังขอสงวนสิทธิ์ในการระงับการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย ในกรณีที่สถานภาพ สถานะการเงิน หรือการอื่นใดที่เกี่ยวข้องของผู้ได้รับอนุญาตมีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินอย่างมีนัยสำคัญ หรือเมื่อผู้ได้รับอนุญาตมีการดำเนินการไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต

สำหรับผู้มีความประสงค์จะขออนุญาตในรอบถัดไปสามารถยื่นหนังสือแสดงความจำนงได้ปีละ 3 ครั้ง ในเดือน มี.ค. ก.ค. และ พ.ย.ของทุกปี โดยการอนุญาตให้ต่างประเทศออกบาทบอนด์ เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การอนุญาตให้ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2549 ซึ่งกระทรวงการคลังมีการพิจารณาอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศสามารถออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทยในแต่ละครั้ง ได้พิจารณาถึงผลกระทบต่อการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนไทย โอกาสที่นักลงทุนในประเทศสามารถลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม การส่งเสริมการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทย และผลกระทบต่อตลาดการเงินของไทย

ทั้งนี้ บริษัทไฟฟ้าน้ำงึม 2 เป็นหนึ่งในบริษัทหลักในธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ช.การช่าง บริษัทจัดตั้งในปี 2550 ภายใต้กฎหมายของ สปป.ลาว เพื่อเป็นเจ้าของและดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังน้ำงึม 2 กลุ่มผู้ถือหุ้นหลัก ประกอบด้วย บริษัท ซีเค พาวเวอร์ ซึ่งถือหุ้น 42% บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง 25% และ EDL-Generation PLC (EDLGen) 25%

ปัจจุบันยอดคงค้างบาทบอนด์ล่าสุด ณ สิ้นเดือน ต.ค. 2561 อยู่ที่ 90,337 ล้านบาท ประกอบด้วยผู้ออกจากเอเชียเป็นหลัก ได้แก่ 79% จาก สปป.ลาว 14% เกาหลีใต้ 3%