posttoday

ช็อปช่วยชาติไม่เอื้อนายทุน

01 ธันวาคม 2561

กรมสรรพากรมั่นใจใช้เงินทำมาตรการช็อปช่วยชาติรอบใหม่ 1,600 ล้าน ช่วยประชาชนมากกว่านายทุน

กรมสรรพากรมั่นใจใช้เงินทำมาตรการช็อปช่วยชาติรอบใหม่ 1,600 ล้าน ช่วยประชาชนมากกว่านายทุน

นายปิ่นสาย สุรัสวดี รักษาการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า มาตรการช็อปช่วยชาติที่สนับสนุนให้มีการซื้อสินค้า 3 รายการ ได้แก่ ยางรถยนต์ทุกประเภท หนังสือ และสินค้าโอท็อป ไม่ได้เป็นมาตรการที่ออกมาช่วยนายทุนเจ้าของห้างสรรพสินค้า ซึ่งมาตรการนี้ที่จะดำเนินการระหว่างวันที่ 15 ธ.ค. 2561-15 ม.ค. 2562 ไม่เหมือนกับมาตรการในปีที่ผ่านๆ มาที่ให้ซื้อสินค้าเป็นการทั่วไป แต่ครั้งนี้มีการกำหนดชนิดสินค้าแค่ 3 รายการ โดยแต่ละชนิดสินค้าที่กำหนดนั้นมีหลักการและเหตุผลแตกต่างกันออกไป แต่อยู่บนพื้นฐานการช่วยเหลือผู้ผลิตที่เป็นคนไทย โดยเฉพาะเกษตรกรที่ปลูกยางพาราและประชาชนที่ผลิตสินค้าโอท็อป โดยวงเงินที่หักลดหย่อนภาษีได้ยังไม่เป็น 1.5 หมื่นบาท เหมือนเดิมที่ผ่านมา

สำหรับกรณียางรถยนต์ ซึ่งรวมถึงยางรถจักรยานยนต์และยางรถจักรยานด้วย มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือราคายางที่ตกต่ำจากปัญหาสต๊อกยางพารา ที่ต้องเร่งระบายออกกว่า 6,000 ตัน โดยปัจจุบันมีผู้ผลิตยางในประเทศ 28 บริษัท โดยกรมสรรพากรได้มีการคำนวณว่า ยางพารา 1 ตัน สามารถผลิตยางรถยนต์ได้ 80 เส้น

ขณะที่การใช้สิทธิลดหย่อนจาก การซื้อยางล้อนั้นจะต้องมีใบกำกับภาษี จากผู้ขายและคูปองที่ติดมากับยางล้อ โดยกรมสรรพากรได้เตรียมคูปองใน ส่วนนี้ไว้ 2 แสนใบ เพื่อเป็นการป้องกันการสวมสิทธิหรือปลอมแปลงต่างๆ โดย ในคูปองดังกล่าวจะต้องมีเครื่องหมาย การค้าของบริษัทผู้ผลิตและบริษัทผู้ขายยางกำกับด้วย และยางล้อจะต้องมี ตราของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กำกับด้วย โดยยาง 1 เส้นต่อคูปอง 1 ใบ

ด้านการใช้สิทธิจากการซื้อหนังสือ หรือ อี-บุ๊ก โดยไม่รวมหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ เพื่อเป็นการส่งเสริมการอ่านของคนในประเทศ จะต้องมีใบเสร็จจากร้านค้า ส่วนสินค้าโอท็อป เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการชุมชน โดยผู้ผลิตจะต้องขึ้นทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชน

นายปิ่นสาย กล่าวอีกว่า มาตรการช็อปช่วยชาติสำหรับ 3 ชนิดสินค้า จะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ ประมาณ 1,600 ล้านบาท จากมาตรการใน ปีก่อนหน้าที่สูญเสียรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท จากผู้ยื่นแบบเพื่อ ขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษีทั้งสิ้น 1.4 ล้านราย