จี้แก้ปัญหาเอสเอ็มอีผิดจุด

"บรรยง" แนะรัฐบาลชุดใหญ่แก้ปัญหาเอสเอ็มอีผิดทาง ช่วย ปูพรมมากเกินไป ทำให้ไม่สามารถแข่งตลาดโลกได้

นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน เปิดเผยว่า การช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเทศไทยของรัฐบาลยังมีความเข้าใจที่ผิด ยังไม่เป็นมาตรฐานสากล ตั้งแต่นิยามของผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีไทย ที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่า เอสเอ็มอีคือกิจการที่มีรายได้ไม่เกิน 200 ล้านบาท/ปี แต่ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีของโลกกำหนดว่ามีรายได้ไม่เกิน 2,000 ล้านบาท

ดังนั้น การที่รัฐบาลมีนโยบายให้ เอสเอ็มอีของไทยไปแข่งกับต่างประเทศจึงเป็นเรื่องยาก ไม่ว่าจะไปแข่งกับเอสเอ็มอี ประเทศสิงคโปร์หรือยุโรปกำหนดว่ามียอดขายไม่เกิน 2,500 ล้านบาท เมื่อ ดูจากขนาดที่ต่างกันมากจึงทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่สามารถออกไปสู้กับ เอสเอ็มอีในต่างประเทศได้

นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมสนับสนุนเอสเอ็มอีไทย จึงต้องมีความชัดเจนว่าต้องพัฒนาเอสเอ็มอีให้เป็นผู้ประกอบการที่ขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นให้ได้ ไม่ใช่เป็นผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 200 ล้านบาทอยู่ตลอดไป ซึ่งเป็นปัญหาแรกที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการแก้ไข คือ การกำหนดนิยามของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยใหม่ ซึ่งควรกำหนดว่ามีรายได้ไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ตามทิศทางของเอสเอ็มอี โลก รวมถึงรัฐบาลต้องเลือกประเภทผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่จะสนับสนุนว่าเป็นอุตสาหกรรมไหนบ้าง ไม่ใช่สนับสนุนทุกอุตสาหกรรม จึงทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนมากมีปัญหาขาดทุน และสร้างหนี้เสียให้กับสถาบันการเงิน

"นิยามผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยผิด ต้องส่งเสริมให้เอสเอ็มอีโตเป็นบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิต ถ้า ส่งเสริมให้เป็นเอสเอ็มอีตลอดไป จะทำให้แข่งไม่ได้ แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจะมีมาตรการออกมาสนับสนุนจำนวนมาก" นายบรรยง กล่าว

นายบรรยง กล่าวว่า การช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยของรัฐบาลไม่ควรปูพรม ควรกำหนดกลุ่มช่วยให้ชัดเจน สำหรับแหล่งเงินทุนในส่วนของธนาคารพาณิชย์พร้อมให้กู้ แต่มีปัญหาเรื่องหนี้เสีย และการฟ้องร้องการใช้หนี้ ที่กฎหมายเรื่องการบังคับคดีขายทอดตลาดที่ต้องใช้เวลา 10 ปี ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่อยากปล่อยกู้ ถึงแม้ว่าจะได้ดอกเบี้ยสูง หากรัฐบาลแก้กฎหมายยึดทรัพย์ให้คล่องตัว ธนาคารพาณิชย์ก็จะลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เอสเอ็มอีได้