posttoday

คนไทย'สอบตก' ความรู้การเงิน

25 สิงหาคม 2561

ปัจจุบันคนไทยยังมีทักษะทางการเงิน ไม่เข้มแข็งนัก

โดย...ธนาคารแห่งประเทศไทย

คนไทยในปัจจุบันยังมีทักษะทางการเงิน ไม่เข้มแข็งนัก ประกอบกับสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่น การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และสภาวะหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ซึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องก้าวผ่าน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตระหนักถึงความจำเป็นในการเร่งส่งเสริมทักษะทางการเงิน ให้แก่ประชาชน โดยได้ทำการสำรวจทักษะ ทางการเงินของคนไทย เพื่อให้ทราบพัฒนาการระดับทักษะทางการเงิน ซึ่งใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้เหมาะสมต่อไป

การสำรวจทักษะทางการเงินปี 2559 เป็นการสำรวจตามแนวทางของ OECD โดยร่วมมือกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งครอบคลุมกลุ่มตัวอย่าง 10,876 ราย ทั้งในและนอกเขตเทศบาลจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ  ซึ่งการสำรวจทักษะทางการเงินตามแนวทางของ OECD ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ด้าน คือ (1) ความรู้ทางการเงิน (2) พฤติกรรมทางการเงิน และ (3) ทัศนคติทางการเงิน

ทั้งพบว่า ค่าเฉลี่ยทักษะทางการเงินของคนไทยในปี 2559 อยู่ที่ร้อยละ 61 โดยคนไทยอ่อนด้านความรู้ทางการเงินที่สุด มีคะแนนอยู่ที่ร้อยละ 48.6  สำหรับด้าน พฤติกรรมทางการเงินมีคะแนนที่ร้อยละ 62.2  และด้านทัศนคติทางการเงินมีคะแนนที่ร้อยละ 76  ซึ่งในภาพรวมทักษะทางการเงินของคนไทยมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าปี 2556 และเท่ากับปี 2558 แต่องค์ประกอบในด้านพฤติกรรมทางการเงินมีแนวโน้มลดลงจากปี 2556 และ 2558 เช่น การไม่ตั้งเป้าหมายระยะยาว ขาดการดูแลบริหารเงินของตนเองอย่างใกล้ชิด ไม่ชำระ ค่าใช้จ่ายตรงตามเวลาเรียกเก็บ และขาดการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก่อนการเลือกซื้อ ส่วนในด้านทัศนคติทางการเงินปรับตัวดีขึ้นจากการสำรวจ 2 ครั้งก่อน

สำหรับช่วงวัยที่มีคะแนนทักษะทางการเงินต่ำกว่ากลุ่มอื่น ได้แก่ กลุ่มเจเนอเรชั่น Z (อายุต่ำกว่า 16 ปี) กลุ่มเจเนอเรชั่น Baby Boomer ขึ้นไป (อายุตั้งแต่ 51 ปีขึ้นไป)

นอกจากนั้น หากพิจารณาทักษะทางการเงินตามภาค พบว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางเป็นภาคที่มีคะแนนเฉลี่ยทักษะทางการเงินต่ำที่สุด ในขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล และภาคใต้ มีคะแนนเฉลี่ยทักษะทางการเงินสูง

จุดอ่อนทักษะทางการเงินในมิติต่างๆด้านความรู้ทางการเงิน พบว่าคนไทยได้คะแนนน้อยกว่าค่าเฉลี่ย OECD เกือบทุกหัวข้อ ยกเว้นเรื่องการคำนวณเงินต้นและดอกเบี้ยเงินฝาก โดยจุดอ่อนของคนไทยที่ยังคงพบต่อเนื่อง เช่น มูลค่าเงินตามกาลเวลาดอกเบี้ยเงินฝากทบต้นและการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เช่นเดียวกับการสำรวจครั้งก่อนๆ นอกจากนี้ หัวข้อที่เป็นจุดอ่อนที่สุดของคนไทยเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย OECD คือ นิยามเงินเฟ้อ ซึ่งความไม่เข้าใจเรื่องภาวะเงินเฟ้ออาจเป็นหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้คนไทยวางแผนการเงินเพื่อยามเกษียณไม่เหมาะสมเนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าของเงินที่ลดลงไปตามกาลเวลา

ด้านพฤติกรรมทางการเงิน พบว่าควรพัฒนาด้านการจัดสรรเงินก่อนใช้จ่าย การบริหารจัดการเงินเพื่อมิให้ประสบปัญหาเงินไม่พอใช้ การศึกษาและเปรียบเทียบข้อมูลก่อนซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และการเลือกวิธีการออมที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังพบว่าพฤติกรรมการออมควรได้รับการส่งเสริมให้ดีขึ้น เนื่องจากพบว่ากว่า 1 ใน 3 ของคนไทยไม่มีใช้จ่ายยามชราหรือเกษียณอายุ อย่างไรก็ตามพบว่าคนไทยกว่า 1 ใน 3 ยังมีจำนวนเงินออมเผื่อฉุกเฉินต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (พอสำหรับค่าใช้จ่าย 3 เดือน) และมีเพียง 14% ที่วางแผนเก็บออมเพื่อยามชราและสามารถทำได้ตามแผนที่วางไว้

ด้านทัศนคติทางการเงิน พบว่าทัศนคติที่คนไทยควรได้รับการพัฒนาที่สุด คือ นิยมความสุขในการใช้เงินมากกว่าการออมเพื่ออนาคต

มิติช่วงวัยของประชากรในแต่ละเจเนอเรชั่น (Gen)

Gen Z (ผู้ที่เกิดปี 2544 เป็นต้นไป) มีความรู้ทางการเงินพื้นฐานยังไม่ดีนัก ยังไม่เห็นความสำคัญของการตั้งเป้าหมายทางการเงินระยะยาว เน้นเพียงสามารถใช้เงินที่ได้มาให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย รวมทั้งยังไม่เห็นความสำคัญของการเก็บออม และยังขาดทักษะในการเปรียบเทียบข้อมูลก่อนซื้อ  สำหรับด้านทัศนคติ ควรส่งเสริมให้มีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการออม

Gen Y (ผู้ที่เกิดปี 2524-2543) มีความรู้การเงินพื้นฐานที่ค่อนข้างดี  พบว่าส่วนใหญ่ยังไม่มีเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว และขาดการบริหารจัดการเงินที่ดี เช่น จัดสรรเงินก่อนใช้ ออมเงินในวิธีที่เหมาะสม หรือ ไม่กู้เงินเมื่อเงินไม่พอใช้ รวมทั้งขาดการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก่อนซื้อสินค้า และมีการใช้จ่ายเกินตัว ควรส่งเสริมทัศนคติด้านการออมเช่นกัน

Gen X (ผู้ที่เกิดปี 2509-2523)มีความรู้ทางการเงินค่อนข้างดี แต่พบว่าส่วนใหญ่ยังไม่สามารถบริหารจัดการเงินให้รองรับกับความรับผิดชอบทางการเงินที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาเงินไม่พอใช้ นอกจากนี้ยังมีวิธีการออมที่ไม่เหมาะสมมากนัก รวมทั้งไม่ทราบแหล่งข้อมูลที่ควรศึกษาก่อนตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ ส่วนในด้านทัศนคติพบว่า มีทัศนคติที่ดีในทุกด้าน

Gen Baby Boomer ขึ้นไป (ผู้ที่เกิดก่อนปี 2509) มีความรู้ทางการเงินไม่ดีนัก พบว่ากลุ่มนี้ไม่เห็นความจำเป็นของการตั้งเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว และไม่ได้เลือกออมเงินในวิธีที่เหมาะสม ทั้งยังขาดการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ และไม่ทราบแหล่งข้อมูลที่ควรศึกษาก่อนการตัดสินใจ อาจด้วยอายุที่มากขึ้นคนกลุ่มนี้จึงมุ่งเน้นดำเนินชีวิตเพื่อวันนี้ และไม่คำนึงถึงอนาคตมากนัก

ด้านแนวทางการดำเนินการของ ธปท. ได้มีการส่งเสริมทักษะทางการเงินแก่คนไทยในหลากหลายช่องทางโดยใช้รูปแบบที่เข้าใจง่ายและสอดคล้องกับ เหตุการณ์ในช่วงชีวิตโดยมุ่งเน้นประเด็นที่เป็นจุดอ่อน เช่น การคำนวณดอกเบี้ยเงินฝากทบต้น มูลค่าเงินตามกาลเวลา ความเสี่ยงและผลตอบแทน  รวมถึงมีนโยบายส่งเสริมพฤติกรรมทางการเงินที่ดีโดยใช้มาตรการเชิงป้องกันกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen Y) ซึ่งเป็นวัยแรงงานหลักของประเทศด้วยการให้ความรู้ควบคู่การลงมือปฏิบัติจริงร่วมกับการกระตุ้น อย่างต่อเนื่อง โดยทำให้เยาวชนรุ่นใหม่มีภูมิคุ้มกันทางการเงินที่ดี สามารถบริหารจัดการการเงินได้ ทั้งในด้านการออมและการจัดการหนี้สิน  โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินงานกับ 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ นักศึกษาอาชีวศึกษาและผู้ที่เริ่มทำงาน (First Jobber)