posttoday

ตร.สอบผู้บริหารบิตคอยน์ ไม่พบนักการเมืองเข้ามารับซื้อ

12 สิงหาคม 2561

กองปราบปรามสอบผู้บริหารบริษัทบิตคอยน์ ยันซื้อขายตามระบบปกติ ไร้นักการเมืองเข้ามารับซื้อเงินดิจิทัล

กองปราบปรามสอบผู้บริหารบริษัทบิตคอยน์ ยันซื้อขายตามระบบปกติ ไร้นักการเมืองเข้ามารับซื้อเงินดิจิทัล

พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผู้บังคับการกองปราบปราม (รอง ผบก.ป.) หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีฟอกเงินสกุลดิจิทัล เปิดเผยว่า จากการสอบสวนผู้บริหารบริษัทบิตคอยน์ให้ข้อมูลว่าการซื้อขายเงินสกุลดิจิทัล ซึ่งนายอาร์นีโอตาวา ซาริมา ผู้เสียหายชาวฟินแลนด์โอนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (อี-วอลเล็ต) ของกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับประกอบด้วย นายจิรัชพิสิษฐ์จารวิจิต นักแสดงหนุ่ม รวมทั้งนายปริญญา และ น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิต พี่ชายและพี่สาวนายจิรัชพิสิษฐ์ ก่อนที่จะแปลงเป็นเงินบาทและนำเข้าบัญชีเงินฝาก เป็นการซื้ออย่างถูกต้องตามระบบไม่มีความผิดปกติ และยังไม่พบว่ามีกลุ่มนักการเมืองเข้ามาซื้อเงินสกุลบิตคอยน์แต่อย่างใด

พ.ต.อ.ชาคริต กล่าวว่า จะขยายผลไปยังเงินที่ได้จากการฉ้อโกงผู้เสียหายว่ามีการยักย้ายถ่ายเทหรือเกี่ยวพันกับบุคคลใด ซึ่งขณะนี้ประสานข้อมูลกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสถาบันการเงิน โดยพบการโอนย้ายไปให้บุคคลในครอบครัว รวมถึงนำไปลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจที่ดินในลักษณะขายฝาก และพบข้อมูลมากพอที่จะออกหมายจับผู้ร่วมกระทำผิดเพิ่มเติมได้อีก 5-6 คน ในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์

ทั้งนี้ ปปง.ได้แจ้งมายังกองปราบปรามว่า พฤติการณ์ของกลุ่มผู้ต้องหาเข้าข่ายได้รับเงินจากการกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน นำทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิดมาไว้ในครอบครอง จากนั้นได้สมคบกันฟอกเงินด้วยการโอนเงินดังกล่าวไปมาระหว่างกันหลายครั้ง และเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มา ซึ่งจะมีการแจ้งข้อหาฉ้อโกงเพิ่มกับ 3 ผู้ต้องหาที่ออกหมายจับฐานฟอกเงินไปแล้ว

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า น.ส.สุพิชฌาย์ได้ประสานผ่านคนกลางให้สอบถามรายละเอียดหลักทรัพย์ในการยื่นประกันตัว โดยแจ้งว่าจะเข้ามามอบตัวในวันศุกร์ที่ 17 ส.ค.นี้ ในส่วนของนายปริญญา พบว่าได้หลบหนีออกนอกประเทศไปยังประเทศเกาหลีใต้ ในช่วงเวลาเดียวกับที่ศาลจะออกหมายจับ ทำให้หมายจับยังไม่ได้ถูกส่งไปในระบบการตรวจคนเข้าเมือง

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า คดีฟอกเงินสกุลดิจิทัลและการฉ้อโกงที่เกิดขึ้น ในด้านหนึ่งมองว่าเป็นเรื่องดีที่จะทำให้มีการเรียนรู้ ทำให้ผู้ที่จะเข้าสู่การลงทุนในสกุลเงินประเภทนี้จะต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้ เพราะผู้เสียหายต่างชาติที่ถูกโกงถือว่าเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการลงทุนเงินสกุลดิจิทัลคนหนึ่งแต่ก็ยังถูกโกงได้

นอกจากนี้ มองว่าจะไม่กระทบกับภาพรวมของเงินดิจิทัล แม้ช่วงแรกอาจชะงักกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เชื่อว่าที่สุดแล้วการซื้อขายเงินสกุลดิจิทัลก็ต้องเกิดขึ้น และทางการน่าจะดำเนินการนำคนทำผิดมารับโทษตามกฎหมายได้

“อยากให้ลงทุนแบบระมัดระวัง ศึกษาให้ละเอียดก่อน และเพื่อป้องกันการถูกหลอกแนะนำให้ดูว่า 1.หากมีการขายและมีการรับประกันผลตอบแทน เช่น 5% ให้คิดไว้เลยว่าเป็นไปได้ยาก 2.หากมีการให้รางวัล เช่น ลงทุนเงินแบบนี้จะมีคูปองแบบนี้ และ 3.ให้ดูประวัติและข้อมูลของผู้ที่จะออกสกุลเงินดิจิทัลว่าเป็นใครอย่างไร น่าเชื่อถือหรือไม่ก่อนตัดสินใจใส่เงินลงไป” นายปริญญ์ กล่าว

ด้าน นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อระบบโดยภาพรวมการลงทุน และหากมีการนำเงินเข้ามาลงทุนเข้ามาในขนาดใหญ่ก็มีการตรวจสอบอยู่แล้ว และกรณีของบริษัท ดีเอ็นเอ บริษัทก็มีการชี้แจงไปแล้ว