posttoday

คลังปัดลดภาษี ดับฝันน้ำอัดลม

25 กันยายน 2552

โพสต์ทูเดย์ —  คลังปิดประตูลดภาษีน้ำอัดลมลงจากเพดาน 20% แม้โคคา-โคลากดดัน

โพสต์ทูเดย์ —  คลังปิดประตูลดภาษีน้ำอัดลมลงจากเพดาน 20% แม้โคคา-โคลากดดัน

นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะมีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำอัดลมลงตามข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการหรือไม่ แต่ในหลักการแล้ว รายได้ส่วนใหญ่ของกรมสรรพสามิตมาจากภาษีน้ำอัดลม

อีกทั้งภารกิจของกรมสรรพสามิต คือจัดเก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย และควบคุมสินค้าที่อาจจะเกิดอันตรายกับสุขภาพของประชาชน ซึ่งน้ำอัดลมจัดว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ดังนั้นการลดภาษีจะต้องทำในกรณีจำเป็นเท่านั้น เพื่อไม่ให้การจัดเก็บรายได้มีปัญหา

รมช.คลัง กล่าวว่า ยังไม่ทราบกรณีที่เครือข่ายสุขภาพ ประกอบด้วย เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน เครือข่ายคนไทยไร้พุง เครือข่ายโภชนาการสมวัย มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ชมรมทันตสาธารณสุขแห่งประเทศไทย จะเดินทางเข้าพบเพื่อยื่นหนังสือคัดค้านการลดภาษีให้น้ำอัดลม แต่ก็ยินดีให้เข้าพบแน่นอน และพร้อมพิจารณาข้อเสนอที่เป็นประโยชน์

ก่อนหน้านี้ นายมูทา เคนท์ ประธานกรรมการบริษัท โคคา-โคลา ผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาได้เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ก.ย. เพื่อขอให้ช่วยเหลือด้านโครงสร้างภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บในอัตรา 20% และกรมสรรพสามิตกำลังพิจารณาจัดเก็บเพิ่มขึ้น เพราะเห็นว่าการขึ้นภาษีเป็นอุปสรรคในการกำหนดมาตรการด้านราคาขาย

ขณะเดียวกันก็เห็นว่าปัจจุบันมีสินค้าหลายรายการที่จัดอยู่ในหมวดเครื่องดื่มใช้วัตถุดิบใกล้เคียงกันเป็นจำนวนมาก แต่รัฐบาลไทยจัดเก็บภาษีได้ไม่ทั่วถึงทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้ประกอบการด้วยกัน โดยชี้แจงว่า หากไทยลดภาษีลงมาโคคา-โคลาพร้อมจะลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นปีละ 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย เป็นผู้รับเรื่องไปพิจารณาว่าจะหาทางแก้ปัญหาในเรื่องภาษีและข้อกำหนดในการกำหนดราคาขายที่เป็นอุปสรรคทางการค้าตามที่ประธานกรรมการโคลาโคลาร้องขอ

นายสุรพล สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา ที่ปรึกษากรมสรรพสามิต กล่าวว่า ปัจจุบันกรมสรรพสามิตมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีจากเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมเฉลี่ยปีละ 7,000-7,500 ล้านบาท จากเพดานภาษี 20% และหากรวมภาษีเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้และเครื่องดื่มประเภทกาเฟอีนต่างๆ ก็จะตกปีละประมาณ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท

“การจะลดภาษีน้ำอัดลมต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะถือว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย และในขณะนี้กรมสรรพสามิตก็กำลังปฏิรูปกฎหมายใหม่ให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในส่วนที่จัดเก็บจากปริมาณและการเก็บจากราคา” นายสุรพล กล่าว

นพ.พฤฒิชัย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตธุรกิจสปา ว่า กระทรวงการคลังสามารถสรุปมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการสปาและรายงานให้นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง รับทราบแล้ว โดยมี 2 แนวทางต้องตัดสินใจ คือการลดอัตราภาษีเหลือ 0% จากที่จัดเก็บอยู่ 10% หรือลดเหลือ 5% จาก 10%

อย่างไรก็ตาม การลดภาษีสปา และภาษีน้ำอัดลมจะต้องรอการพิจารณาอนุมัติดำเนินการจากนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ที่จะดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิตอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2552 นี้