posttoday

หวั่นสูงวัยเงินไม่พอ

02 กรกฎาคม 2557

บลจ.ไทยพาณิชย์เผยคนไทยลงทุนกระจุกในตราสารหนี้ มีหุ้นน้อย เสี่ยงมีเงินไม่พอใช้หลังเกษียณ

บลจ.ไทยพาณิชย์เผยคนไทยลงทุนกระจุกในตราสารหนี้ มีหุ้นน้อย เสี่ยงมีเงินไม่พอใช้หลังเกษียณ

นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการ ผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักลงทุนไทยมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นค่อนข้างน้อย เห็นได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งเป็นการออมระยะยาวเพื่อการเกษียณ พบว่า มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพียง 13% โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในตราสารหนี้ 73% เงินฝาก 10% จึงอาจทำให้คนไทย ซึ่งกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุมีความเสี่ยงมีเงินไม่พอใช้ในยามเกษียณ

อย่างไรก็ตาม หากเทียบต่างประเทศ เช่น กองทุนเพื่อเกษียณอายุของออสเตรเลีย มีการลงทุนในหุ้นสูงถึง 60% แบ่งเป็นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 26.6% หุ้นออสเตรเลีย 33.4% และลงทุนในตราสารหนี้เพียง 19% แบ่งเป็นตราสารหนี้ในประเทศ 12% และตราสารหนี้ต่างประเทศ 7% รวมทั้งมีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 11.4% เงินฝาก 10.3%

“จะเห็นว่าภาพการออมเพื่อเกษียณอายุของไทยกับต่างประเทศต่างกันมาก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของไทยมีการลงทุนในหุ้นเพียง 13% เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากและอาจทำให้คนไทยมีความเสี่ยงจากการที่มีเงินไม่พอใช้ในยามเกษียณ หากเทียบการลงทุนในระยะเวลา 30 ปี ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 1 บาทเท่ากัน พบว่าเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของไทยจะโตเป็น 5.20 บาท ขณะที่ออสเตรเลียจะเพิ่มขึ้นเป็น 10.06 บาท มากกว่าไทยประมาณ 2 เท่า”นายสมิทธ์ กล่าว

สำหรับ บลจ.ไทยพาณิชย์ แนะนำ|นักลงทุนกระจายการลงทุนไปต่างประเทศบ้าง เพื่อเป็นการจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะสมในทุกสภาวะ โดยแนะนำกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล เวลท์ และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลบอล เวลท์ พลัส ให้เป็นกองทุนหลักของพอร์ตการลงทุน มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายผ่านกองทุนชั้นนำทั่วโลก ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ โดยคาดหวังผลตอบแทนระยะยาวเฉลี่ย 7-8% ต่อปี ถือเป็นกลุ่มกองทุนที่ผสมสินทรัพย์อย่างเหมาะสมเพื่อให้ผลตอบแทนค่อนข้างนิ่งและเติบโตในระยะยาว

ด้านตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุน แต่ต่างประเทศมองเป็นโอกาสและหลังมีรัฐประหารมุมมองลงทุนหุ้นเปลี่ยนเล็กน้อย โดยนักลงทุนต่างชาติในที่สุดก็จะต้องกลับมาลงทุนในหุ้นไทยอีกครั้ง เพราะนักลงทุนต่างชาติเขาไม่ได้มองแค่เรื่องปัญหาการเมืองหรือการเมืองไทยจะเป็นแบบไหน นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่เขามองหาโอกาสในการลงทุนที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีทำให้เงินงอกเงยได้มากกว่า ซึ่งเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในที่สุดก็จะฟื้นกลับคืนมาเมื่อตัวเลขในภาคเศรษฐกิจจริงยืนยัน กว่าที่คนจะเชื่อมั่นก็คงต้องใช้เวลาบ้างแต่ภาพในปีหน้ามีแนวโน้มดีขึ้นกว่าในปีนี้แน่นอน

กลับมามองหุ้นที่อิงการเติบโตในประเทศบางตัว เช่น รับเหมาก่อสร้างและยังให้น้ำหนักกลุ่มพลังงานต่ำกว่าตลาด

นอกจากนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ได้รับการประกาศอันดับบริษัทจัดการกองทุนภายในประเทศจากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) เป็นปีที่ 4 โดยคงอันดับเครดิตที่ “Highest Standards (tha)” แสดงถึงมีการจัดการด้านปฏิบัติการและการลงทุนโดดเด่นกว่ามาตรฐานที่นักลงทุนสถาบันภายในประเทศใช้ในการพิจารณาบริษัทจัดการลงทุนเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน จาก 2 ปีแรกที่ “M2+(tha)”