posttoday

บล.ไม่สดใส

16 กันยายน 2556

โดย... บล.เอเซีย พลัส

โดย... บล.เอเซีย พลัส

ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส วิเคราะห์ว่าแนวโน้มกำไรงวดไตรมาส 3 ปี 2556 จะอ่อนตัวลงต่อจากงวดไตรมาส 2 อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหดตัวตาม|การไหลออกของเงินทุนต่างชาติ หลังธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณทยอยยกเลิกนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน (คิวอี) อีกทั้งเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มมีแนวโน้มชะลอตัวลง ส่งผลให้ดัชนีตลาดแกว่งตัวอย่างผันผวนอย่างหนัก กระทบต่อมูลค่าการซื้อขาย (ไม่รวมพอร์ตซื้อขายหุ้น)

งวดไตรมาส 3 นับตั้งแต่เดือน ก.ค.จนถึงปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายเหลือเพียงวันละประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท ลดลง 28.5% จากไตรมาส 2 ขณะที่มูลค่าการซื้อขายตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันยังอยู่สูงถึงเฉลี่ยวันละ 4.9 หมื่นล้านบาท ทําให้เชื่อว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของทั้งปี 2556 จะยังคงสอดคล้องกับสมมติฐานของฝ่ายวิจัยที่ 4.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน (หากช่วงที่เหลือของปีมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวโน้มส่วนแบ่งการตลาดของ 5 บล.บริษัท คันทรีกรุ๊ป (CGS) บริษัท ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) บล.โกลเบล็กซ์ (GBX) บล.ทรีนีตี้ (TNITY) และ บล.ยูโอบีเคย์เฮียน (UOBKH) ในงวดไตรมาส 3 ที่ปรับตัวลดลงแรงและผลขาดทุนจากพอร์ตการลงทุนของ TNITY ในงวดไตรมาส 2 ทําให้ฝ่ายวิจัยต้องปรับประมาณการกําไรสุทธิปี 2556 ของ 5 บล.ดังกล่าวลง 10-15%

ขณะที่ปี 2557 คาดว่ากําไรสุทธิของ บล. ส่วนใหญ่น่าจะลดลง เนื่องจากคาดมูลค่าการซื้อขายน่าจะลดลงเหลือราว 3.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน หลังจากที่ทําจุดสูงสุดไปแล้วในปีนี้

แม้ภาพรวมกําไรสุทธิของกลุ่มปี 2556 เติบโตขึ้นจากปีก่อนอย่างมีนัย แต่ในระยะยาวมีแนวโน้มถดถอย ทําให้ฝ่ายวิจัยยังคงน้ำหนักการลงทุน “น้อยกว่าตลาด” เนื่องจากคาดผลประกอบการน่าจะทำจุดสูงสุดไปแล้วตั้งแต่งวดไตรมาสแรก แต่ในระยะสั้นยังคงสามารถเลือกเก็งกําไรในหุ้นตัวที่จ่ายเงินปันผลสูง โดยใช้วิธีประเมินมูลค่าหุ้น ปี 2556 ใหม่อิงสัดส่วนราคาต่อกำไร (พี/อี) แบบอนุรักษนิยมที่ระดับ 8-10 เท่า (ปรับลดลงจากเดิมที่ระดับ 10-12 เท่า เนื่องจากความผันผวนของตลาด) และจะปรับไปใช้มูลค่าเหมาะสมของปี 2557 แทนภายหลังประกาศงบไตรมาส 3) โดยเลือก “ซื้อ” หุ้นบริษัท เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) มูลค่าที่เหมาะสม 27.34 บาท บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) (KGI) มูลค่าที่เหมาะสม 3.3 บาท จากผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงถึง 12-13% และแนะนํา “ซื้อเก็งกําไร” UOBKH มูลค่าที่เหมาะสม 5.1 บาท โอกาสราคาขึ้นสูงสุดในกลุ่ม และมีผลตอบแทนเงินปันผลอีก 5.4%

กลุ่มหลักทรัพย์รายงานกําไรสุทธิงวดไตรมาส 2 รวม 1,200 ล้านบาท ลดลง 44.7% จากไตรมาสแรก เป็นไปตามที่คาด สาเหตุหลักมาจากการปรับฐานของดัชนีตลาด จากระดับ 1,561 จุด ณ ไตรมาสแรก ปี 2556 เหลือ 1,452 จุด ณ สิ้นงวดไตรมาส 2 ลดลง 7% ส่งผลให้กำไรจากพอร์ตลงทุนงวดไตรมาส 2 ลดลง 71.3% อีกทั้งส่งผลต่อมูลค่าการซื้อขาย (ไม่รวมพอร์ตซื้อขายหุ้น) งวดไตรมาส 2 ลดลง 12.8% มาอยู่ที่ 5.05 หมื่นล้านบาทต่อวัน ทําให้รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์|ลดลง 24.8% ทั้งนี้หากพิจารณาเป็นรายบริษัทพบว่าทุก บล.มีกําไรสุทธิลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าทั้งสิ้น โดย TNITY เป็น บล.ที่มี กำไรสุทธิลดลงมากที่สุด 132.5% มีผลขาดทุน 31 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าที่ลดลงมากถึง 26.5% และขาดทุนจากพอร์ตลงทุน 72 ล้านบาท ตามมาด้วย CGS มีกําไรสุทธิลดลง 61% เนื่องจากการตั้งสํารองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น ขณะที่ บล.โนมูระ พัฒนสิน (CNS) มีกําไรสุทธิลดลงน้อยที่สุด ลดลง 24% เนื่องจากสามารถรักษาฐานรายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้ดอกเบี้ยจากการปล่อยเงินกู้เพื่อซื้อหุ้น (Margin loan) บวกกับไม่มีพอร์ตลงทุน จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับฐานของดัชนีตลาด

แนวโน้มส่วนแบ่งตลาดหลาย บล.ลดลง ทําให้ต้องปรับประมาณการกําไรปี 2556 ของ 5 บล.ดังกล่าวลงเนื่องจากคาดว่ามูลค่าการซื้อขายน่าจะลดลงเหลือ 3.5 หมื่นล้านบาทต่อวัน หลังจากทำจุดสูงสุดไปแล้วในปีนี้