posttoday

ลดภาษีหนุน หุ้นค้าปลีก-สื่อสาร-ท่องเที่ยว

01 สิงหาคม 2556

โดย...ทีมข่าวหุ้น-ตลาดทุน

โดย...ทีมข่าวหุ้น-ตลาดทุน

โบรกเกอร์วิเคราะห์เรื่อง ครม.ไฟเขียวรื้อภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เตรียมส่งร่างแก้ไขประมวลรัษฎากรให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน จากเดิม 5 ขั้น เป็น 7 ขั้น (รายได้ 0-300,000 บาท เสียภาษี 5% 300,001-500,000 บาท เสียภาษี 10% 500,001-750,000 บาท เสียภาษี 15%) เพื่อประกาศบังคับใช้ในปีภาษี 2556 ที่จะต้องยื่นรายการในปี 2557 ซึ่งมาตรการนี้จะกระทบรายได้ปีงบ 2556 ประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท ส่วนภาษีเงินได้ห้างหุ้นส่วนฯ จะจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 2,000 ล้านบาท

แต่เป็นข่าวบวกต่อหลายธุรกิจ อาทิ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) และเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) เนื่องจากอัตราภาษีใหม่ที่ลดลงจะทำให้ประชาชนมีเงินสำหรับการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า อัตราภาษีบุคคลธรรมดาใหม่ จะเป็นบวกกับกลุ่มที่อิงกับการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ เช่น พาณิชย์ สื่อสาร บันเทิง เป็นต้น เนื่องจากรายได้สุทธิหลังหักภาษีที่เพิ่มขึ้นของประชาชนส่วนหนึ่งจะถูกนำมาจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน โดยจะเริ่มเห็นผลดีตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป (โดยปกติพนักงานในภาคเอกชนจะมีการวางแผนภาษีไว้ล่วงหน้า ทำให้การหักภาษี ณ ที่จ่ายจะน้อยลง รายได้สุทธิต่อเดือนบนฐานเงินเดือนเดิมจะสูงขึ้น)

บล.ดีบีเอสฯ ให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มพาณิชย์และบันเทิงเป็นปกติหุ้นเด่น คือ BIGC, HMPRO, MAJOR และให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาดหรือ Overweight ในกลุ่มสื่อสาร เนื่องจากมีปัจจัยกระตุ้นจาก 3G ใหม่ และภาคเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ Smart Phone และ Tablet หุ้นเด่นคือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL) บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS)  

ด้าน บล.ทรีนีตี้ มองว่าจะเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อและการบริโภค ซึ่งจะเป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีกและท่องเที่ยว เช่น บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (ROBINS) บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL)

บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ ระบุว่า การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อกระจายภาระภาษีให้เท่าเทียมกันมากขึ้น ประเด็นดังกล่าวคาดจะส่งผลบวกต่อกลุ่มค้าปลีก เนื่องจากผู้บริโภคจะมีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของคนชั้นกลางที่ประหยัดจากการเสียภาษีลดลงประมาณ 5% ดังนั้น แนวโน้มของธุรกิจในระยะยาวที่ยังดูดีอยู่ ทำให้ยังคงน้ำหนัก “มากกว่าตลาด” ในกลุ่มค้าปลีก และเลือกบริษัท ซีพี ออลล์ (CPALL) เป็นหุ้นเด่น โดยมีราคาเป้าหมาย 56 บาท

ขณะที่ บล.กรุงศรีอยุธยา ได้ออกบทวิเคราะห์หุ้นในเดือน ส.ค.นี้ว่า กลุ่มพาณิชย์คาดกำไร 2 ปี 2556 จะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนและจะทรงตัวเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

โดยคาดว่าบริษัทในกลุ่มพาณิชย์ (BIGC, BJC, CPALL, HMPRO, MAKRO และ ROBINS) จะรายงานกำไรจากการดำเนินงานงวด 2ที่ 7,520 ล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสมาสก่อนหน้าแต่เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการใช้จ่ายชะลอตัวลง ซึ่งอ้างอิงจากรายงาน ธปท. ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนชะลอตัว 0.3% ในเดือน เม.ย. และทรงตัวในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

ขณะที่รายการส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นรายได้ กดดันอัตรากำไรขั้นต้น และเมื่อเปรียบเทียบปีต่อปี ยังคงเป็นทิศทางขาขึ้นจากการขยายสาขาเชิงรุกของผู้ประกอบการ เราคาดว่า BIGC และ HMPRO จะรายงานผลประกอบการโดดเด่นสุด และเราประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่ม ปี 2556 จะขยายตัว 17% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนเป็น 3.23 หมื่นล้านบาท

ด้วยปัจจัยสนับสนุนการขยายสาขาเชิงรุกต่อเนื่อง อัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นตามส่วนผสมผลิตภัณฑ์และการประหยัดขนาดจากการสั่งซื้อสินค้า และอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลปรับลดลงเหลือ 20% จาก 23% ในปี 2555 คาดว่ากำไรจะเข้าสู่ระดับสูงสุดของปีในไตรมาส 4

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงประกอบด้วย การชะลอตัวของยอดขาย โดยเฉพาะไตรมาส 3 ภายหลังสมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้ปรับลดคาดการณ์ขยายตัวของอุตสาหกรรมค้าปลีกค้าส่งปี 2556 ลงจาก 12% เป็น 9% การแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นจากการใช้กลยุทธ์ราคา และรายการส่งเสริมการขาย กดดันอัตรากำไรขั้นต้น

ดังนั้น คงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” ราคาหุ้นของกลุ่ม ซื้อขายเฉลี่ยที่พี/อี 29 เท่า ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับพี/อีของตลาดซึ่งอยู่ที่ 15 เท่า สะท้อนความคาดหวังเชิงบวกต่อการเติบโตของผลประกอบการปี 2556 ไปแล้ว