posttoday

แนะเกษตรกรปรับตัวหลังราคายางพาราร่วง

02 เมษายน 2556

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ เผย ราคาน้ำมันตลาดโลกต่ำ ถ่วงราคายางพารา แนะเกษตรกรผู้ปลูกยางพารากระจายความเสี่ยง

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ เผย ราคาน้ำมันตลาดโลกต่ำ ถ่วงราคายางพารา แนะเกษตรกรผู้ปลูกยางพารากระจายความเสี่ยง

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics แนะเกษตรกร กระจายความเสี่ยงเสริมรายได้ เพราะประเทศผู้ส่งออกยางไม่สามารถกำหนดทิศทางราคายางโลกได้ โดยจากการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อราคายางพารามากที่สุด พบว่า ในปีนี้ราคาน้ำมันจะเป็นปัจจัยหลักกดดันราคายาง และหากราคายางยังไม่กระเตื้องขึ้น คงต้องมีการต่ออายุมาตรการลดการส่งออกยางพาราหลังครบกำหนด 31 มีนาคม นี้ ต่อไปอีก

ยางพาราไม่ใช่แค่สินค้าเศรษฐกิจเฉพาะของภาคใต้อีกต่อไป เพราะได้มีการเพาะปลูกกันมากขึ้นในภูมิภาคอื่น โดยสัดส่วนพื้นที่การเพาะปลูกยางพาราอยู่ในนอกภาคใต้รวมถึง 35% แบ่งโดยประมาณเป็นภาคตะวันออกเฉียงหนือ 20% ภาคกลางและภาคตะวันออก 10% และภาคเหนือ 5% ซึ่งจากรายงานล่าสุดปริมาณการส่งออกยางพาราเกือบครึ่งของโลกมาจากไทย โดยมีจีนเป็นตลาดส่งออกหลักของประเทศ มีสัดส่วนการส่งออกไปจีนถึง 38.8% ของการส่งออกยางพาราทั้งหมด นอกจากนั้น ยางพาราเป็นหนึ่งในสินค้าเกษตรไม่กี่ชนิดที่ซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) และมีปริมาณซื้อขายมากสุดเมื่อเทียบกับสินค้าเกษตรอื่นในตลาดฯ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของยางพาราในเศรษฐกิจไทยได้อย่างชัดเจน

ในปัจจุบันได้มีการรวมตัวกันของกลุ่มประเทศผู้ผลิตหลัก ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เพื่อทำให้ราคายางมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยการเข้าควบคุมปัจจัยทางด้านอุปทาน เช่น ปริมาณผลผลิต สต๊อกยางพารา เป็นต้น

ทั้งนี้ มาตรการลดการส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพาราของ 3 ประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะลดการส่งออกยางของทั้ง 3 ประเทศลงให้ได้ 3 แสนตันต่อปี จะสิ้นสุดอายุลงในวันที่ 31 มีนาคม 2556 และหากราคายางพารายังไม่กระเตื้องขึ้นจะขยายเวลาไปอีก 6 เดือน  ถึงกันยายน 2556 ซึ่งหลายฝ่ายมองว่ามาตรการนี้คงต้องขยายออกไปอีก เพราะเห็นว่าแนวโน้มราคายางพาราน่าจะยังอยู่ระดับต่ำ

เป็นเรื่องยากที่กลุ่มประเทศผู้ผลิตหลักจะเป็นผู้ชี้นำราคายางในตลาดโลก โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังซบเซา เพราะมีปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคายางพาราทางด้านอุปสงค์ อาทิ การขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และผลิตภัณฑ์ยางของโลก รวมไปถึงราคายางสังเคราะห์ในฐานะสินค้าทดแทน  ตลอดจนปัจจัยด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ล้วนอยู่นอกเหนือการควบคุมของประเทศผู้ผลิตทั้งสิ้น

จากการศึกษาของศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี  พบว่า 3 ปัจจัยที่กล่าวถึงสามารถใช้เป็นตัวสังเกตทิศทางราคายางได้ในระดับที่แตกต่างกัน และสรุปได้ว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่สะท้อนด้านสินค้าทดแทน เนื่องจากความสามารถในการทดแทนกันของยางพาราและยางสังเคราะห์ สามารถอธิบายทิศทางของราคายางได้ดีที่สุดที่ร้อยละ 40 ใขณะที่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของจีน (PMI) อธิบายได้ 7% และความกังวลต่อความเสี่ยงของนักลงทุนที่สะท้อนผ่านดัชนีความผันผวน VIX ในตลาดชิคาโก อีก 3% ส่วนที่เหลือในอีก 50~ ถูกกำหนดด้วยปัจจัยอื่นๆ ทำให้เห็นได้ว่า การที่ประเทศผู้ผลิตหลักจะเปลี่ยนแนวโน้มราคายางด้วยปัจจัยด้านอุปทานนั้น คงเป็นไปได้ยาก เพราะกว่าครึ่งหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในราคายางพารา มีสาเหตุมาจากปัจจัยนอกเหนือการควบคุมของประเทศผู้ผลิตอย่างเราทั้งนั้น

ดังนั้น ในภาวะปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะกลับมามีแรงขับเคลื่อนมากขึ้น ดังการปรับตัวดีขึ้นของ PMI และมุมมองต่อตลาดของนักลงทุนดีขึ้นจากปีที่แล้ว สะท้อนได้จากดัชนี VIX ที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ก็ไม่อาจช่วยผลักดันให้ราคายางมีแนวโน้มสูงขึ้นได้ เพราะแรงผลักดันดังกล่าว ยังไม่มากพอที่จะทำให้แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกเปลี่ยนทิศทาง โดยปีนี้ ราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มแค่ทรงตัว และกว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากราคาน้ำมันในตลาดโลก อาจต้องรออย่างน้อยถึงไตรมาส 4 ล้อไปกับคำกล่าวที่ว่า “น้ำมันตลาดโลกแพง ราคายางโลกแพง” ดังนั้น  น้ำมันตลาดโลกไม่แพง ราคายางโลกจึงไม่แพงไปด้วย

เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราจึงจำเป็นต้องเสริมรายได้ด้วยการกระจายธุรกิจ อาทิ อาจโค่นต้นยางอายุมากเพื่อขายตัวไม้ให้ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ในช่วงยางราคาตก และปลูกต้นไม้ยางใหม่ พร้อมทั้งปลูกพืชแซมยางและพืชร่วมยางตามอายุของยางพาราไว้บริโภคในครัวเรือน และเสริมรายได้ในช่วงราคายางตกต่ำ อีกทั้ง ต่อยอดธุรกิจด้วยการพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถในการร่วมกลุ่มและเชื่อมโยงอุตสาหกรรม (Value chain) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้า และเสริมความเข้มแข็งในกลุ่มผู้ประกอบการตลอดสายการผลิต เพื่อรับมือแรงกดดันจากปัจจัยแวดล้อมในสถานการณ์ปัจจุบัน และเตรียมตัวให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงก่อนการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 เพราะไม่ว่าอย่างไร ยางพาราก็คงยังครองแชมป์สินค้าเกษตรอันดับหนึ่งของไทยไปอีกหลายปี