posttoday

ธปท.ถกสอท.ยันไม่อุ้มค่าเงินบาท

29 มกราคม 2556

ธปท.ชี้หารือสอท.ทำความเข้าใจ ยันไม่ยอมอุ้มค่าเงินบาท และในการดูแลค่าเงินจะไม่ใช้แนวทางรุนแรงที่อาจกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน

ธปท.ชี้หารือสอท.ทำความเข้าใจ ยันไม่ยอมอุ้มค่าเงินบาท และในการดูแลค่าเงินจะไม่ใช้แนวทางรุนแรงที่อาจกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในช่วงนี้เริ่มกลับมามีผันผวนน้อยลง แต่ก็ยังจำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิดต่อไป ส่วนการหารือเรื่องการบรรเทาผลกระทบค่าเงินบาทแข็งร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)ในวันนี้เวลา 15.30 น. นั้นคงต้องรับฟังข้อเสนอแนะกันอยู่ เพราะนอกจากการดูแลสถานการณ์ในแต่ช่วงแล้ว จะได้หารือถึงแนวทางที่ควรช่วยกันดูแลในอนาคตด้วย เพราะค่าเงินบาทยังไม่ชัดเจนว่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางใด

“การหารือกับสอท.คงต้องพูดคุยกัน แต่จะคาดหวังให้ธปท.มาอุ้มค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับใดระดับหนึ่งคงได้ เพราะการผันผวนของค่าเงินบาทมาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะปัจจัยจากต่างประเทศ ที่หลายประเทศไม่ปฎิบัติตามกฎ ซึ่งเราก็เหฌนใจภาคเอกชน แต่เอกชนก็ต้องระมัดระวังในส่วนของเขาด้วย ส่วนเราทางการก็จะระวังในส่วนต่างๆและพยามสร้างสมดุลทำให้เงินทุนไหลเข้าและไหลออกสมดุลเป็นธรรมชาติ เพื่อให้สามารถบริการจัดการคาเงินได้ สรุปทั้งสองฝ่ายต้องช่วยกัน” นายประสารกล่าว

นายประสาร กล่าวว่า จากการรับฟังข้อเสนอของสอท.ในเบื้องต้นตามแนวคิดที่คุณเจน นำชัยศิริ รองประธานส.อ.ท.ชี้แจงผ่านสื่อก่อนหน้านี้ 7 ข้อ จริงๆในขณะนี้ธปท.ก็ทำครบทุกข้อแล้ว ยกเว้นข้อที่อยากให้มีการแยกเงินที่ไหลเข้ามาว่าเป็นเงินลงทุนโดยตรง หรือเงินที่เข้ามาเก็งกำไรนั้นคงทำได้ยาก เพราะในทางปฏิบัติคงลำบาก ส่วนข้อเสนอที่ให้เงินทุนที่ไหลเข้ามาในประเทศไทยต้องลงทะเบียนและแจ้งวัตถุประสงค์การใช้นั้น ในการปฏิบัติคงทำได้ยาก และอาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ รวมถึงอาจจะยุ่งยากในการปฎิบัติของธนาคารพาณิชย์

อย่างไรก็ตามแม้แนวทางนี้จะถือเป็นมาตรการหนึ่งในการสกัดเงินทุนไหลเข้า แต่คงยังไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้กับไทย ซึ่งเท่าที่ทราบประจีนได้นำมาใช้ แต่จีนเป็นประเทศเศรษฐกิจปิด ระบบการเงินปิด การจะทยอยเปิดโดยให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาได้ แต่ให้ลงทะเบียนแจ้งวัตถุประสงค์การมาก็อาจจะได้ แต่สำหรับไทยคงไม่เหมาะ เพราะตลาดการเงินไทยไม่ได้พบการเก็งกำไรที่รุงแรง อย่างไรก็ตามธปท.ยังต้องติดตามสถานการรือย่างใกล้ชิดต่อไป

“ในอดีตเคยมีการกู้เงินเข้ามาโดยไม่ทำอะไร รวมถึงที่ไหลมาลงทุนระยะสั้นเพื่อเก็งกำไรนั้น ยอมรับว่าเคยมี เรารู้ว่าเป็นใคร รายไหน ในตลาดในวงการเขาก็รู้ ซึ่งเราก็เคยมีการลงโทษสั่งปรับ หรือพยามไม่ติดต่อ และบางครั้งถึงขั้นยึดในอนุญาตก็มี แต่ในปัจจุบันหรือในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาถึงจะเงินทุนระยะสั้นเข้ามามากขึ้น แต่ก็ยังไม่พบการเก็งกำไรจนผิดปกติจนต้องลงโทษแต่อย่างใด” นายประสารกล่าว

ก่อนหน้านี้ นายเจน นำชัยศิริ รองประธานส.อ.ท.ได้เรียกร้องให้ธปท.ช่วยดูแลผลกระทบคาเงินบาทแข็ง 7 มาตรการ คือ 1.ให้ธปท.ดูแลไม่ให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นอย่างผันผวน โดยต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ 2. อย่าให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าคู่แข่งในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ซึ่งหากแข็งค่าขึ้นมากกว่า 3% ถือว่าเป็นเรื่องหนักหนา เพราะในมุมมองผู้ประกอบการถือว่าค่าเงินบาทไทยแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแล้ว

3.ให้ปลดล็อคการถือครองเงินตราต่างประเทศ 4.ต้องการให้กลุ่มผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี เข้าถึงกลไกและมาตรการต่างๆมากขึ้น เช่น ให้ธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐลดวงเงินค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมทางการเงิน ลดการป้องกันความเสี่ยงให้มีขนาดเล็กลง กำหนดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมให้เหมาะสม 5.แยกเงินที่ไหลเข้ามาเป็นเงินต่างประเทศที่แปลงเป็นเงินบาท เพื่อมาหาประโยชน์ แล้วสร้างภูมิคุ้มกันให้ชัดเจน 6.สนับสนุนผู้ประกอบการให้ลงทุนในต่างประเทศ และ7. สนับสนุนการลงทุนภาครัฐและเอกชนโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น