posttoday

หวั่นคิวอี3ทำธปท.แบกหนี้อ่วม

25 กันยายน 2555

สมาคมธนาคารไทยหวั่น คิวอี3ทำธปท.แบกหนี้หลังแอ่น "กอบศักดิ์" หนุนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.27 ล้านล้าน ชี้ช่วงนี้เหมาะสุด

สมาคมธนาคารไทยหวั่น คิวอี3ทำธปท.แบกหนี้หลังแอ่น "กอบศักดิ์" หนุนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.27 ล้านล้าน ชี้ช่วงนี้เหมาะสุด

การประชุมคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา ที่มีนายวิทวัส บุญญสถิตย์ สว.สรรหา เป็นประธาน ได้พิจารณาเรื่อง แนวทางการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินจากการกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเป็นการกำหนดเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยนและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวน 2.27ล้านล้านบาท โดยเชิญนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย

นายธวัชชัย กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ควรสลับกันใช้นโยบายการเงินระหว่างการกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อและการกำหนดเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยนให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ เพราะหากเลือกใช้อย่างหนึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาได้โดยเฉพาะภาคการส่งออก เช่น ถ้าใช้การกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อมากเพียงอย่างเดียวเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยไม่ใช้การกำหนดเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยนด้วยการไม่แทรกแซงค่าเงินเลยจะสร้างปัญหากับธุรกิจส่งออก

นายธวัชชัย กล่าวว่า การที่มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 หรือคิวอี 3 ออกมาจากสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ เริ่มมีคำถามเกิดขึ้นว่าธปท.จะสามารถรับภาระขาดทุนจากการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินได้ตลอดไปหรือไม่ เนื่องจากมาตรการของสหรัฐฯรอบนี้เหมือนจะไม่มีจุดจบ เกรงว่าถ้าธปท.ขาดทุนสะสมมากเป็นห่วงจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ ทำให้ต้องไปของบประมาณจากกระทรวงการคลังตอนนั้นจะส่งผลให้ธปท.เสียความเป็นกลางและความเป็นอิสระได้ ดังนั้นธปท.ต้องสลับใช้ทั้งสองนโยบายให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ

"ในภาคเอกชนมีการประเมินแล้วว่าการช่วยเรื่องอัตราค่าเงินบาทของรัฐบาลเพื่อให้ผู้ส่งออกไปได้เรื่อยๆ แบบนี้ประเทศชาติจะไปไม่รอดเหมือนกัน เวลานี้ตลาดใหญ่สำคัญสองแห่ง คือ สหรัฐอเมริกาและยุโรปได้หายไปแล้ว เราอาศัยการส่งออกคิดเป็น 70 %ของจีดีพีก็ไปไม่รอด เอกชนได้ข้อร้องรัฐบาลมาตั้งนานแล้วว่าทำอย่างไรให้คนไทยไปลงทุนในต่างประเทศได้เพื่อเอากำไรกลับมา เพราะต่อไปจะขายของอย่างเดียวไม่ได้แต่ต้องลงทุนด้วย" นายธวัชชัย กล่าว

ด้าน นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐมีความจำเป็นหลังจากไทยเว้นว่างการลงทุนในลักษณะนี้มานานตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี2540 โดยอยู่ในระดับเพียง 20-25%เท่านั้นไม่เคยสูงกว่านี้ ยิ่งไทยเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนมากเท่าไหรโครงสร้างพื้นฐานยิ่งมีความจำเป็นมากขึ้นเท่านั้น เพื่อสร้างโอกาสใหม่ในการลงทุนให้มากขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้จะทำไม่ได้เลยถ้าปราศจากการสนับสนุนจากภาครัฐ

"จังหวะนี้มีความเหมาะสมที่สุดที่ไทยจะลงทุนเพราะคู่แข่งในเวทีโลกอย่างสหรัฐอเมริกายังคงต้องอ่อนแออยู่ในระยะหนึ่ง ส่วนยุโรปกำลังเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ ต้องใช้เวลาอีก 4-5ปีถึงจะกลับมาเป็นปกติได้ จะเหลือเอเชียเท่านั้นที่ดูดี ซึ่งเราต้องแข่งกับประเทศอื่นอีกมากเช่น จีน อินเดีย หรือแม้แต่ ภายในอาเซียนด้วยกันเอง ดังนั้น เวลานี้จะเป็นโอกาสดีที่ไทยจะสร้างความสนใจเพื่อดึงการลงทุนใหม่ย้ายมาที่เมืองไทย ถ้าเราตอบโจทย์เรื่องโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้เราก็จะไม่มีความสนใจเท่ากับคู่แข่งและเราก็จะพลาดโอกาสสำคัญ"นายกอบศักดิ์ กล่าว

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม คิดว่าควรทำเป็นพ.ร.บ.ออกมาเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและจะได้แสดงให้สังคมได้เห็นว่าประเทศไทยได้ให้ความสำคัญโครงสร้างพื้นฐานอะไรบ้าง ที่สำคัญถ้าโครงการเหล่านี้อยู่ภายใต้พ.ร.บ.จะทำให้โครงการต่างๆมีความต่อเนื่องแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก็ตาม เพียงแต่ไปจัดการไม่ให้เกิดปัญหาการทุจริตระหว่างที่มีการดำเนินการโครงการตลอดระยะเวลา 7 ปี

"เงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.27 ล้านล้านบาท 7 ปีคิดเฉลี่ยตกปีละประมาณ 3แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นเงินที่จำนวนไม่มาก โดยอยู่ในวิสัยที่รัฐบาลก็ลงทุนในระดับนั้นอยู่แล้วไม่ใช่ตัวเลขสูงเกินจริงและพอรับได้ หนี้ต่อจีดีพีจะเพิ่มขึ้นเพียง 50%ต่อจีดีพีเท่านั้นจากเดิม 40% ก็อยู่ในระดับที่รับได้เช่นกัน ไม่ใช่ระดับสูงเกินไปจนกระทั่งเป็นปัญหากับประเทศ แต่เวลานี้เราจะต้องสร้างความชัดเจนและคัดเลือกโครงการไม่ให้มีความอิเละเขะขะ ถ้าทำตรงนี้ได้เงิน 3 แสนล้านบาทต่อปีก็จะเป็นสิ่งที่ดี" นายกอบศักดิ์กล่าว